สมาร์ทไอดีลุ้นรายได้โต 320 ล. เดินหน้าเข้าตลาดMAIปีหน้า

24 ก.พ. 2560 | 09:00 น.
บริษัทสมาร์ท ไอดี กรุ๊ปฯ วางเป้ารายได้ 320 ล้านบาทปีนี้ จากกลยุทธ์การพัฒนาสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เตรียมขยายสัดส่วนรายได้เป็น 50% ทั้งในและต่างประเทศ เล็งออกสินค้าใหม่ควบคุมปลั๊กไฟผ่านมือถือเจาะกลุ่มไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ พร้อมเดินหน้าเข้า MAI ปี 61

นายพิชเยนทร์ หงษ์ภักดี ประธานกรรมการบริหารบริษัท สมาร์ท ไอดี กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์คอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ภายใต้แบรนด์Anitechเปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าปี 2560 บริษัทตั้งเป้าจะมีรายได้ 320 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 20% จากปีที่ผ่านมาซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 245 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นการใช้กลยุทธ์ในการพัฒนาสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาด ซึ่งมีเป้าหมายที่กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเป็นหลัก เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม

ทั้งนี้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะเน้นเรื่องการตอบโจทย์ความต้องการของสินค้าเป็นหลัก โดยบริษัทมีทีมวิจัยและพัฒนาที่สามารถเป็นทั้งผู้ผลิต และออกแบบสินค้าได้เองซึ่งในระยาวได้มีการวางเป้าหมายในการเป็นผู้ผลิตสินค้าที่ทุกครอบครัวในภูมิภาค AEC จะต้องมีสินค้าของบริษัทอย่างน้อย 1 ผลิตภัณฑ์ภายในบ้าน หรือตลาดที่ขยายใหญ่ขึ้นเป็น 600 ล้านคน หรือผลิตภัณฑ์ประมาณ 600 ชิ้น จากเดิมที่บริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้ประมาณ 2 ล้านชิ้นต่อปี ซึ่งจากกลยุทธ์ดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้บริษัทไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้ โดยปัจจุบันบริษัทมีการทำตลาดผ่านหน้าร้านต่างๆ และตัวแทนจำหน่าย โดยมีจุดจำหน่ายสินค้ามากกว่า 8,000 จุด ที่พร้อมจะรับผลิตภัณฑ์ไปจำหน่าย ขอเพียงแค่บริษัทออกแบบมาและตรงกับความต้องการของตลาด

นายพิชเยนทร์ กล่าวอีกว่าการทำตลาดต่างประเทศปีนี้ ตั้งเป้าจะมีรายได้อยู่ที่ 20% จากรายได้ทั้งหมด โดยเติบโตจาก 8% ในปีที่ผ่านมา ขณะที่ในปี 2561 ตั้งเป้าจะให้มีสัดส่วนรายได้เป็น 50% เท่ากันระหว่างในประเทศต่างประเทศ โดยวางกลยุทธ์หลักในการหาจุดกระจายสินค้าที่มีความเหมาะสม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมเรื่องการสร้างแบรนด์ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในลำดับถัดมาของบริษัท และการจัดกิจกรรมทางการตลาดได้ โดยบางประเทศบริษัทสามารถทำได้แล้ว แต่บางประเทศยังอยู่ในขั้นตอนการแสวงหา เช่น ที่ประเทศอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์

นายพิชเยนทร์ กล่าวต่อไปอีกว่า ในเดือนมีนาคม 2560 บริษัทจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของตลาดในกลุ่มที่เป็นอินเตอร์เนตออฟธิงส์ (Internet of Thing) หรือเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ โดยสามารถบังคับเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่านอุปกรณ์ปลั๊กไฟที่บริษัทพัฒนาได้บนแอพพลิเคชันในสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ยังเตรียมออกผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่เหมาะกับวิถีการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ เพื่อต่อยอดกลุ่มผลิตภัณฑ์ปลั๊กไฟดังกล่าว

"แอพพิเคชันควบคุมปลั๊กไฟจะสามารถใช้ได้ทั้งระบบ IOS และ Android โดยเราจะนำสิ่งเหล่านี้มาพัฒนาต่อยอดกับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่เป็นสมาร์ทโปรดักต์ เพื่อให้การใช้ชีวิตของผู้บริโภคง่ายขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่มาพร้อมกับคุณภาพ ตอบสนองการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับตลาด โดยเราเลือกที่จะเป็นผู้ออกแบบการใช้ชีวิตใหม่ ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ได้ เพราะบริษัทไม่เน้นกลยุทธ์การแข่งขันทางด้านราคา"

นายพิชเยนทร์ กล่าวอีกว่า ในปี 2561 บริษัทมีแผนที่จะยืนแบบแสดงรายการหรือไฟลิ่งให้กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเป็นบริษัทมหาชน จากการเข้าสู่เข้าตลาดหลักทรัพย์ MAIโดยบริษัทได้ดำเนินการเตรียมความพร้อมมาแล้วกว่า 3 ปี ทั้งการมีที่ปรึกษาทางการเงิน ผู้ตรวจสอบบัญชี ระบบการบริหารจัดการองค์กรที่สามารถตรวจสอบได้ เพียงแต่ ก.ล.ต. มีการปรับหลักเกณฑ์ใหม่ของบริษัทที่จะเข้าสู่ตลาด ทำให้เกิดความล่าช้าออกไป

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,238 วันที่ 23 - 25 กุมภาพันธ์ 2560