‘วอร์เรนบัฟเฟตต์’ ขายทิ้งหุ้นห้างค้าปลีกดัง ‘วอลมาร์ท’

20 ก.พ. 2560 | 02:00 น.
เมื่อพูดถึงบุคคลชื่อ วอร์เรนบัฟเฟตต์ เชื่อว่าน้อยคนที่จะไม่รู้จักเขา ในฐานะมหาเศรษฐีนักลงทุนชื่อดังอันดับต้นๆของโลกและประธานบริหารของบริษัทเบิร์กไชร์แฮธาเวย์ฯ ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนที่ใหญ่ระดับโลกของเขา จากประสบการณ์และการคร่ำหวอดในวงการตลาดหุ้นสหรัฐฯ มายาวนาน

นายวอร์เรนบัฟเฟตต์ ประธานเบิร์กไชร์แฮธาเวย์ ได้อัพเดตพอร์ตการลงทุนล่าสุดของเขา ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงหุ้นหลายอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยในรายงานการถือครองหุ้นของเบิร์กไชร์แฮธาเวย์ นายบัฟเฟตต์ได้ตัดสินใจขายทิ้งหุ้นวอลมาร์ท (Walmart) ห้างค้าปลีกดังของสหรัฐฯ ออกไปเกือบทั้งหมด มูลค่า 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากที่บัฟเฟตต์เข้าซื้อหุ้นของวอลมาร์ทสะสมไว้อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา และส่งผลให้เวลานี้บริษัทเบิร์กไชร์แฮธาเวย์ฯ หันมาถือครองหุ้นของสายการบินใหญ่สหรัฐฯ แทน

ห้างสรรพสินค้าวอล์มาร์ท ถือว่าเป็นยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ แต่กลับกลายเป็นว่ายอดขายกลับสู้ค้าปลีกออนไลน์ยักษ์ใหญ่อย่างอเมซอน (Amazon)ไม่ได้ และนี้เป็นปัญหาการเติบโตในอนาคต โดยในปีที่ผ่านมา อเมซอน มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 356 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับวอลมาร์ท มีมูลค่าการตลาดที่ 298 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่บัฟเฟตต์ได้ออกมาระบุว่า เขารู้ดีว่าธุรกิจค้าปลีกกำลังเผชิญหน้าอย่างหนักในการแข่งขันกับอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่รายอื่นๆ

ในปี 2558 ยอดขายทางออนไลน์ของวอลมาร์ท คิดเป็น 1.37 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับอเมซอน ยอดขายอยู่ที่ 1.07 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม วอลมาร์ทยอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 4.82 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมากกว่าสี่เท่าของรายได้ของอเมซอน ขณะเดียวกัน ตั้งแต่ปลายปี 2557 ราคาหุ้นของวอลมาร์ทดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง 21% ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับอเมซอน ราคาหุ้นกระโดดขึ้น 119%

นายไมค์ ดุก ประธานบริหารของวอลมาร์ท ก็ได้เคยออกมาแสดงความคิดเห็นเช่นกันว่า เป็นความเสียใจ ครั้งใหญ่ที่สุด ที่บริษัทไม่มีการลงทุนเพิ่มในอีคอมเมิร์ซ เพื่อแข่งขันสู้กับอเมซอน เพราะธุรกิจกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

การตัดสินใจขายหุ้นวอลมาร์ทของบัฟเฟตต์ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางการค้าปลีกในอนาคต เฉกเช่นเดียวกับที่เขาเคยคาดการณ์เกี่ยวกับการปิดกิจการลงของห้างสรรพสินค้าสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นเซียส์ (Sears) และ เคมาร์ต (Kmart) เมื่อปี 2548 เพื่อวางแผนฟื้นฟูใหม่ หลังจากยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ขณะที่เร็วๆนี้เอง ก็มีข่าวออกมาว่าห้างสรรพสินค้าดังอย่าง เมซี่ส์ (Macy's) หลายแห่งจะปิดตังลงกลางปีนี้เช่นเดียวกัน

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,237 วันที่ 19 - 22 กุมภาพันธ์ 2560