บิ๊กเนมแห่ผุดแนวราบ หวังลดเสี่ยง-เร่งรับรู้รายได้

20 ม.ค. 2560 | 03:00 น.
บิ๊กเนมอสังหาฯเบนเข็มรุกแนวราบ คาดตลาดโตประมาณ 3-7% พฤกษา เล็งเปิด 60 โครงการ เพิ่มสัดส่วนสินค้าพร้อมอยู่ ลดเสี่ยงทิ้งโอน พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคชี้แนวราบตลาดเรียลดีมานด์ ศุภาลัย เผยผู้ประกอบการมุ่งพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น

สถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียมในช่วงปีที่ผ่านมา ถือว่าอยู่ในช่วงชะลอตัวอย่างมาก สืบเนื่องจากกำลังซื้อกลุ่มลูกค้าหลักในระดับกลาง-ล่าง ซึ่งเป็นฐานใหญ่ของประเทศประสบปัญหาหนี้สินภาครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่สถาบันการเงินก็มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ในปี 2560 ผู้ประกอบการต้องปรับแผนการดำเนินงาน หันมาพัฒนาโครงการแนวราบเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความต้องการอยู่อาศัยแท้จริง (เรียลดีมานด์) อีกทั้งยังสามารถคาดการณ์รายได้ได้ดีกว่า ไม่เหมือนคอนโดมิเนียมที่กลุ่มผู้ซื้อมีทั้งซื้อเพื่อเก็งกำไร ซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว และซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง การก่อสร้างต้องแล้วเสร็จทั้งโครงการพร้อมส่งมอบจึงจะรับรู้รายได้

โดยผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจอสังหาฯคาดการณ์ปีนี้ตลาดจะเติบโตจากปี 2559 ประมาณ 5-10% หากแยกพิจารณาในแต่ละประเภทสินค้า พบว่าในกลุ่มทาวน์เฮ้าส์จะมีอัตราการเติบโตที่ประมาณ 5-7% ขณะที่บ้านเดี่ยวจะมีอัตราการเติบโตที่ประมาณ 3-6% คอนโดมิเนียม 7-15% โดยเฉพาะกลุ่ม 3-5 ล้านบาท

นายปิยะ ประยงค์ กรรมการผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจแวลู บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ในภาวะเศรษฐกิจเช่นปัจจุบันผู้ประกอบการจำเป็นจะต้องพัฒนาสินค้าที่สามารถรับรู้รายได้ได้เร็วอย่างโครงการแนวราบ เพื่อลดความเสี่ยงในทิ้งโอนและการรับรู้รายได้ ซึ่งพฤกษาสามารถพัฒนาบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว รอบการก่อสร้างทาวน์เฮาส์อยู่ที่ประมาณ 40 วัน และบ้านเดี่ยวอยู่ที่ 70 วัน โดยสัดส่วนรายได้และยอดขายหลักของบริษัทยังมาจากสินค้าในกลุ่มแนวราบที่ประมาณ 80% สำหรับปีนี้ บริษัทวางแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2560 ประมาณ 70 โครงการ มูลค่ารวม 6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 60 โครงการ โครงการแนวสูง 10 โครงการ

“ ปีนี้พฤกษา จะเพิ่มสัดส่วนบ้านเดี่ยวพร้อมโอนให้มากขึ้น จากเดิมบริษัทจะก่อสร้างบ้านพร้อมโอนอยู่ที่ 25% ในแต่ละโครงการ มาเป็น 100% เพื่อลดต้นทุนในการถือครองอีกทั้งยังสามารถรับรู้รายได้ได้ทันที พร้อมกับมุ่งเน้นแข่งขันในเรื่องของคุณภาพและบริการ มากกว่าการแข่งขันในเรื่องของราคา”

นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นตลาดเรียลดีมานด์ ดังนั้น ในปี 2560 บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการทั้งหมด 19 โครงการ มูลค่ารวม 2.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 14 โครงการ มูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 8,000 ล้านบาท

สำหรับกลุ่มสินค้าที่มุ่งเน้นพัฒนาเป็นกลุ่มกลาง-บน ซึ่งไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการถูกปฏิเสธสินเชื่อ โดยมี 2 โครงการใหญ่ภายใต้แบรนด์ “มาสเตอร์พีซ” ระดับราคา 20-50 ล้านบาท จำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4,600 ล้านบาท 240 หน่วย

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กล่าวว่า บริษัทยังคงมีนโยบายรุกตลาดแนวราบชัดเจนทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่นยังคงมุ่งเน้นทำตลาดแนวราบในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลเป็นหลัก โดยมุ่งตลาดระดับกลาง ดังนั้นตลาดแนวราบต่างจังหวัด อาจเริ่มเห็นโครงการที่พัฒนาโดยผู้ประกอบการท้องถิ่นมากขึ้น

ขณะที่บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) จะนำแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ “บ้านแสนสิริ” กลับมาทำตลาดอีกครั้งหนึ่ง หลังประสบความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการ “บ้านแสนสิริ สุขุมวิท 67” เมื่อปี 2549 ระดับราคา 40-120 ล้านบาท จำนวน 36 หน่วย บนที่ดินขนาด 30 ไร่ มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ย่านพัฒนาการ ด้านบริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ ในปี 2560 บริษัทมีแผนงานเปิดโครงการใหม่อีกประมาณ 21 โครงการมูลค่า 2.1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น ทาวน์โฮม 17 โครงการ บ้านแฝด 3 โครงการ และบ้านเดี่ยว 1 โครงการ ผ่าน 3 กลยุทธ์หลักได้แก่ 1.เปิดทำเลใหม่ โดยเล็งเปิดตลาดใน 3 ทำเลประกอบด้วย ย่านแจ้งวัฒนะ, ลาดพร้าว-เกษตรนวมินทร์ และสาทร-กัลปพฤกษ์ 2.เดินหน้าเจาะตลาดบ้านหรู และ3. พัฒนาบ้านแฝดสายพันธุ์ใหม่ฟังก์ชั่นครบเทียบเท่าบ้านเดี่ยวในราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,228 วันที่ 19 - 21 มกราคม 2560