เมื่อเร็วๆนี้ BIC Shanghai ได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมรายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมนครเซี่ยงไฮ้ จัดโดยคณะกรรมการเศรษฐกิจและสารสนเทศนครเซี่ยงไฮ้ร่วมกับสำนักงานการต่างประเทศนครเซี่ยงไฮ้ เพื่อเป็นสะพานเชื่อมความร่วมมือระหว่างวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs ของนครเซี่ยงไฮ้ กับประเทศตามแนวยุทธศาสตร์ “One Belt, One Road” รวมถึงให้ข้อมูลและคำแนะนำการลงทุนที่เป็นประโยชน์แก่ SMEs
ปัจจุบัน นครเซี่ยงไฮ้ให้ความสำคัญกับการพัฒนา SMEs เพราะถือเป็นแรงขับเคลื่อนหนึ่งที่ผลักดันเศรษฐกิจนครเซี่ยงไฮ้ให้เติบโต เพิ่มจำนวนการจ้างงาน และนำนวัตกรรมเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาต่อยอดธุรกิจ ในปี 2558 นครเซี่ยงไฮ้มี SMEs ประมาณ 1 ล้านบริษัท กว่า 1,000 บริษัทเป็น SMEs ลักษณะที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจที่ทำ มีการลงทุนด้าน R&D สินค้าและบริการมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงมีรูปแบบการบริหารจัดการธุรกิจสมัยใหม่ เรียกได้ว่า เป็น SMEs ที่มีศักยภาพมากพอที่จะพัฒนาให้แข็งแกร่งเติบโตต่อไปได้ ด้วยเหตุนี้ นครเซี่ยงไฮ้จึงมีนโยบายมุ่งส่งเสริม SMEs ให้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ปรับปรุงระบบการบริการSMEs ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งลดอุปสรรคและความยากลำบากในการเข้าถึงข้อมูล
ไม่เพียงเท่า นครเซี่ยงไฮ้ยังสนับสนุนให้ SMEs เดินหน้าออกไปลงทุนในประเทศตามแนวยุทธศาสตร์ “One Belt, One Road” เพื่อขยายการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ ตามนโยบาย “ก้าวออกไป” ของรัฐบาลกลางจีน แต่เนื่องจาก SMEs ส่วนใหญ่มีข้อจำกัดด้านข้อมูลและประสบการณ์การลงทุน ทำให้ยากต่อการศึกษาวิจัยรอบด้านเกี่ยวกับประเทศที่ต้องการจะไปลงทุน ศูนย์ให้บริการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมนครเซี่ยงไฮ้จึงได้จัดทำ หนังสือคู่มือการลงทุนในประเทศตามแนวยุทธศาสตร์ “One Belt, One Road” สำหรับ SMEs ขึ้น โดยรวบรวมข้อมูลพื้นฐานประเทศทั้ง 65 ประเทศตามแนวยุทธศาสตร์ดังกล่าว รวมถึงอิตาลี เยอรมนี ฝรั่งเศส และออสเตรีย ซึ่งมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น และดึงดูดการลงทุนจากจีน เนื้อหาในคู่มือครอบคลุมเรื่องธรรมชาติและภูมิศาสตร์ ประชากรและสังคม ขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม ทรัพยากรและพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน ภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม การพัฒนสารสนเทศ นโยบายการลงทุน การเก็บภาษีและกฎหมาย ตลอดจนหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการลงทุนของต่างชาติ
สำหรับประเทศไทยในฐานะที่เป็น 1 ใน 65 ประเทศตามแนวยุทธศาสตร์ “One Belt, One Road” คู่มือดังกล่าวได้ระบุถึงข้อมูลด้านการคมนาคมของไทยที่นำไปใช้ได้จริง ทั้งการคมนาคมทางอากาศ ทางบก และทางน้ำ เพื่อความสะดวกในการเดินทางมาประเทศไทย รวมถึงตัวอย่างบริษัทจีนที่ได้ลงทุนในไทย เช่น Bank of China (Thai) Public Company Limited,Haier Electric (Thailand) Public Company Limited, China Shipping (Bangkok) Co., Ltd. , China Resources (Holdings) Co., Ltd.เป็นต้น
ทั้งนี้ SMEs ก็ต้องทำการบ้านโดยติดตามความเคลื่อนไหวข่าวสาร กฎระเบียบ และนโยบายต่าง ๆ ของประเทศที่จะไปลงทุนอยู่เสมอด้วย จะได้ทันต่อเหตุการณ์และลดความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้ หาก SMEs คิดว่าการลุยเดี่ยวไปผจญโลกภายนอกเพียงลำพังเป็นเรื่องยาก การอาศัยธุรกิจขนาดใหญ่ที่เคยลงทุนอยู่ก่อนในประเทศนั้นเพื่อ “ก้าวออกไป” ลงทุน ก็เป็นอีกหนทางหนึ่งที่ช่วยดัน SMEs ให้เติบโตในตลาดใหญ่ได้เหมือนกัน แต่ถ้าไม่สามารถพึ่งธุรกิจขนาดใหญ่ได้จริง ๆ SMEs ก็ควรจับกลุ่มรวมกัน “ก้าวออกไป” ลงทุน เพราะตลาดภายนอกยังมีโอกาสให้ SMEs จ่อคิวลงทุนอีกมากมาย
เห็นได้ว่า นครเซี่ยงไฮ้คงไม่หยุดที่จะผลักดันให้ SMEs “ก้าวออกไป” ลงทุน เพราะยุทธศาสตร์ “One Belt, One Road” สนับสนุนอย่างเต็มที่ ส่วนประเทศไทยก็ไม่น้อยหน้า มีแนวคิดยกระดับพัฒนา SMEs คล้ายคลึงกับนครเซี่ยงไฮ้ ยกตัวอย่างโครงการ “Thailand Startup” ที่บ่มเพาะผู้ประกอบการรายใหม่และส่งเสริม SMEs ที่มีนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ให้มีความสามารถแข่งขันทางการตลาดมากขึ้น ซึ่งรวมถึงการส่งเสริม SMEsไทยให้บุกตลาดต่างแดนเช่นจีนด้วยเช่นกัน
อนึ่ง “One Belt, One Road” เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง จีน มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันการเชื่อมโยงระบบโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาค กระชับความสัมพันธ์และพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างจีนกับประเทศตามแนวยุทธศาสตร์ 65 ประเทศ แบ่งเป็น 2 ยุทธศาสตร์ย่อย ได้แก่ 1) Silk Road Economic Belt หรือเส้นทางสายไหมทางเศรษฐกิจทางบก เพื่อเชื่อมจีนผ่านเอเชียกลางไปยังยุโรป และ 2) Maritime Silk Road หรือเส้นทางสายไหมทางทะเล เชื่อมโยงจีนกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวล่าสุดของเศรษฐกิจจีนได้ที่เว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน www.thaibizchina.com หรือช่องทางใหม่www.facebook.com/thaibizchina
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,227 วันที่ 15 - 18 มกราคม 2560