ดีเซลจ่อ30บาทขนส่งจี้กองทุนอุ้ม

10 ม.ค. 2560 | 13:00 น.
ผู้บริโภคเตรียมทำใจขายปลีกนํ้ามันปี 60 พุ่งอีก 2-3 บาทต่อลิตรตามราคานํ้ามันดิบโลก หลังโอเปกเริ่มลดกำลังการผลิต และความต้องการใช้เพิ่ม จับตาดีเซลมีโอกาสแตะที่ 30 บาทต่อลิตร ขนส่งแนะใช้เงินกองทุนพยุงราคาดีเซล

นายมนูญศิริวรรณ นักวิชาการด้านพลังงาน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แนวโน้มราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปีนี้จะทยอยปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งจะต้องปรับตามราคาน้ำมันดิบในต่างประเทศที่คาดว่ามีราคาสูงขึ้นจากปีก่อน หากราคาน้ำมันดิบปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 50-60 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล จะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปรับเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2-3 บาทต่อลิตร โดยเมื่อวันที่ 5 มกราคม ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันในกลุ่มเบนซินและดีเซลได้ปรับตัวขึ้นไปแล้ว 60 สตางค์ต่อลิตร จากราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ 53.26 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบรนต์อยู่ที่ 56.46 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล และดูไบอยู่ที่ 53.89 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล

ทั้งนี้ ราคานํ้ามันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นผลจากตลาดตอบรับกับข่าวที่ผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกเริ่มดำเนินการแจ้งกลุ่มลูกค้าว่า จะมีการปรับลดกำลังผลิตโดยเฉลี่ยลง 5% ที่จะดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคมนี้ เป็นต้นไป

ผู้ผลิตรายใหญ่อย่างซาอุดีอาระเบียจะลดกำลังการผลิต 4.86 แสนบาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่ 10.058 ล้านบาร์เรลต่อวันและทางคูเวต จะปรับลดกำลังการผลิตลงราว 1.31 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยทางกลุ่มโอเปก จะมีการประชุมในวันที่ 21-22มกราคมนี้ เพื่อกำหนดมาตรการตรวจสอบสถานะปริมาณการผลิตนํ้ามันดิบของแต่ละประเทศให้สอดคล้องกับนโยบายที่ตกลงกันไว้ที่จะลดกำลังการผลิตลงราว1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันมาอยู่ที่ 32.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ขณะเดียวกันผลจากราคานํ้ามันดิบปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับนโยบายลอยตัวราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี)จะส่งผลต่อราคาขายปลีกแอลพีจีในประเทศเพิ่มขึ้นเช่นกันจากระดับ 20.29 บาทต่อกิโลกรัม เนื่องจากราคาตลาดโลกปรับตัวขึ้นไปอยู่ระดับ 465 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน จากเดือนธันวาคม 2559 อยู่ที่ 396ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ส่วนราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(เอ็นจีวี)ปัจจุบันทางกระทรวงพลังงานยังคงใหบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตรึงราคาขายปลีกไว้ก่อน ยังไม่ได้ลอยตัว 100%ดังนั้นจึงต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของภาครัฐว่าในช่วงครึ่งปีหลัง จะประกาศนโยบายลอยตวั พลงั งานหรือไม่ หากลอยตวั ราคาเอ็นจีวีก็ต้องสะท้อนต้นทุนตลาดโลกเช่นกัน

โดยแนวโน้มราคาขายปลีกในประเทศที่จะทยอยปรับเพิ่มขึ้น ส่วนตัวมองว่าภาครัฐยังไม่จำเป็นต้องใช้เงินจากกองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิงเข้ามาอุ้มราคาพลังงาน เนื่องจากเป็นการปรับขึ้นตามต้นทุนตลาดโลก และไม่ได้ปรับขึ้นรุนแรงมากนัก นอกจากนี้เชื่อว่าราคาขายปลีกที่ปรับเพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ผู้บริโภคใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

นายมนูญ กล่าวอีกว่า ส่วนราคานํ้ามันดีเซลจะพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 30 บาทต่อลิตรหรือไม่นั้น ต้องขึ้นกับว่าราคานํ้ามันดิบจะสวิงตัวขึ้นไประดับใด เพราะหากราคาดีเซลจะขึ้นไปถึงระดับ 29-30บาทต่อลิตร ราคานํ้ามันดิบในตลาดโลกจะต้องปรับขึ้นไปอยู่ระดับกว่า 60 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล และราคาดีเซลในตลาดโลกจะต้องขึ้นไปอยู่ที่ 75-80 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ดังนั้นแม้ว่าทิศทางราคานํ้ามันจะปรับเพิ่มขึ้น แต่เป็นการทยอยปรับขึ้นแบบไม่หวือหวา ยังไม่จำเป็นต้องใช้เงินจากกองทุนนํ้ามันฯเข้ามาอุดหนุนราคาขายปลีกในประเทศ ยกเว้นว่าราคาขายปลีกนํ้ามันปรับขึ้นแบบสวิงตัวมาก อาจพิจารณานำเงินกองทุนเข้ามาอุดหนุนได้บ้างนายอธิคม เติบศิริ ประธาน

เจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มของราคานํ้ามันดิบในตลาดโลกยังอยู่ในช่วงขาขึ้น จากแรงหนุนของการลดกำลังการผลิตของกลุ่มในและนอกโอเปก ประกอบกับความต้องการนํ้ามันในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ จะปรับตัวสูงขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว และผู้ใช้รายใหญ่อย่างจีน จะเข้าสู่เทศกาลตรุษจีน จะส่งผลให้ความต้องการใช้นํ้ามันมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยระยะสั้นที่จะทำให้นํ้ามันดีเซลมีโอกาสขึ้นไปใกล้30 บาทต่อลิตรได้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 26.69 บาทต่อลิตร

ขณะที่ราคาขายปลีกในระยะสั้นได้ปรับตัวขึ้นมาแล้ว โดยล่าสุดราคา ณวันที่ 6 มกราคม 2560 ราคานํ้ามันเบนซินอยู่ที่ 35.06 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95อยู่ที่ 27.95 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91อยู่ที่ 27.68 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์อี 20 อยู่ที่ 25.44 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์อี 85 อยู่ที่ 20.29 บาทต่อลิตร และราคานํ้ามันดีเซล อยู่ที่ 26.69 บาทต่อลิตร (ราคานี้ยังไม่รวมภาษีท้องที่ของแต่ละจังหวัด) ส่วนราคาแอลพีจี จะต้องติดตามการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในวันที่ 9 มกราคมนี้ ว่าจะตัดสินใจปรับเพิ่มขึ้นหรือไม่ จากปัจจุบันอยู่ที่ 20.29 บาทต่อกิโลกรัม

นายทองอยู่ คงขันธ์ ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยกล่าวว่า ในช่วงที่ราคานํ้ามันถูกลงภาคขนส่งก็หันมาใช้นํ้ามัน ทำให้ปัจจุบันรถบรรทุกสินค้าที่ใช้เอ็นจีวีเหลืออยู่ในตลาดเพียง 2% เมื่อเทียบกับรถบรรทุกทั่วประเทศ 1.3 ล้านคัน ทำให้ขณะนี้ปริมาณการใช้นํ้ามันดีเซลเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนภาคขนส่งสูงขึ้นตาม ปี 2560 ถ้าแนวโน้มราคานํ้ามันดิบอยู่ที่ 55-60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก็จะทำให้ราคานํ้ามันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น จะมีผลกระทบต่อต้นทุนขนส่งในทุกครั้งที่ปรับราคานํ้ามันขึ้นทุก 1 บาทจะทำให้ต้นทุนค่าขนส่งสูงขึ้น 2-5% ล่าสุดภาคขนส่งรอดูท่าทีนโยบายของรัฐบาลในการบริหารจัดการกองทุนนํ้ามัน รวมถึงดูทิศทางราคานํ้ามันในตลาดโลก

สอดคล้องกับที่นายสุระชัยกนกะปิณฑะ สมาชิกสมาคมผู้ประกอบการขนส่งสินค้าภาคอีสาน กล่าวว่า ทางสมาคมได้หารือกับทางสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ไปแล้วเมื่อปลายปี 2559 เพื่อขอให้รักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกนํ้ามันดีเซล ไม่ให้แกว่งตัวตามตลาดโลกรวดเร็วเกินไป เนื่องจากทำให้ผู้ประกอบการภาคขนส่งควบคุมต้นทุนค่าขนส่งยาก จึงอยากให้กระทรวงพลังงานใช้เงินจากกองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิงที่ปัจจุบันมีฐานะกว่า 4 หมื่นล้านบาทพยุงราคาขายปลีกนํ้ามันดีเซลที่ระดับ25-26 บาทต่อลิตร โดยอาจจะปรับขึ้นลงทุกๆ 3 เดือน

ด้านนางนันทวัลย์ ศกุนตนาคอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงแนวโน้มราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในปี 2560ว่า ภาพรวมคาดจะอยู่ในภาวะที่ทรงตัวเห็นได้จากผู้ประกอบการยังไม่กล้าขึ้นราคาในช่วงนี้ และน่าจะเห็นการแข่งขันกันลดราคาเพื่อดึงลูกค้ามากกว่าการปรับเพิ่มราคาสินค้า แต่ทั้งนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าได้คือ ราคานํ้ามันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนหรือค่าเงินบาทที่ยังมีทิศทางที่ผันผวน อย่างไรก็ดีขณะนี้ยังไม่มีผู้ผลิตรายใดยื่นขอปรับราคาสินค้าเข้ามายังกรม (อ่านข่าวประกอบหน้า 6)

อย่างไรก็ตามในปีนี้กระทรวงจะยังคงติดตามราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด รวมทั้งจะประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากราคานํ้ามันที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันยังพบว่าราคานํ้ามันดีเซลลิตรละ 26.74 บาท มีผลกระทบต่อต้นทุนค่าขนส่งเล็กน้อยประมาณ0.02-0.09% เท่านั้น จึงไม่มีเหตุผลในการปรับขึ้นราคาสินค้า

นายบุญฤทธิ์ มหามนตรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย)จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า การปรับขึ้นของราคานํ้ามันในขณะนี้จะยังไม่ส่งผลต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในช่วงระยะเวลาสั้นประมาณ 2-3 เดือน แต่ต้องประเมินในระยะยาวอีกครั้งว่าราคานํ้ามันจะปรับขึ้นในราคาเท่าใด นอกจากนี้ยังต้องประเมินผลกระทบจากการปรับขึ้นของราคานํ้ามันด้วยว่า ส่งผลกระทบต่อต้นทุนวัตถุดิบหรือต้นทุนอื่นที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจหรือไม่

ต่อเรื่องนี้ด้านนางสาวอริยาติรณะประกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA)เปิดเผยว่า ในภาวะอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นตามราคานํ้ามัน ทำให้ประชาชนได้รับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงลดลง จึงไม่ควรนำเงินออมฝากไว้กับธนาคารทั้งหมด ควรกระจายความเสี่ยงในเรื่องผลตอบแทนผ่านการลงทุนในกองทุนเทอมฟันด์ อายุสั้นๆ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวคาดว่าดอกเบี้ยระยะสั้นในประเทศไทยยังไม่ปรับขึ้นภายในปีนี้ ยกเว้นอัตราเงินเฟ้อมีการเร่งตัวขึ้น เนื่องจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้นโยบายดอกเบี้ยในการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย แต่ดอกเบี้ยระยะยาวในตราสารหนี้มีการปรับขึ้นตามแนวโน้มดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาไปแล้ว

อย่างไรก็ตามเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (6 ม.ค.) ราคานํ้ามันได้ปรับลดลงมาอีกครั้ง โดยนํ้ามันดิบเบรนต์ ปรับลดลง13 เซ็นต์ มาอยู่ที่ระดับ 56.76 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนนํ้ามันดิบเวสต์เท็กซัส ราคาซื้อขายล่วงหน้าปิดที่ 53.65 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 11 เซ็นต์จากราคาปิดตลาดวันที่ 5 มกราคม ที่ผ่านมา นักวิเคราะห์กล่าวว่าราคาที่เป็นอยู่ ณเวลานี้ คือราคาที่อยู่ในระดับใกล้ๆ จุดคุ้มทุนของผู้ผหลิตหลายราย ทำให้เชื่อว่าราคานํ้ามันจากนี้จะไม่พุ่งขึ้นสูงนัก

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ในเดือนธันวาคม 2559 ปริมาณนํ้ามันดิบจากผู้ผลิตกลุ่มโอเปกลดลงเพียงเล็กน้อยจาก 34.38 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนพฤษภาคม มาอยู่ที่ 34.18 ล้านบาร์เรลต่อวัน แม้ว่าผู้ค้านํ้ามันจะมีความมั่นใจมากขึ้นจากข้อตกลงลดปริมาณการผลิตของโอเปกแต่ก็ยังมีความสงสัยว่า ประเทศสมาชิกโอเปกจะให้ความร่วมมือปฏิบัติตามข้อตกลงทุกประเทศหรือไม่ วิเรนทราชอฮัน นักวิเคราะห์ตลาดนํ้ามันจากบริษัทที่ปรึกษาอิเนอร์จี แอสเปคท์ส ในสิงคโปร์ให้ความเห็นว่า โอเปกจำเป็นต้องพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าพูดจริงทำจริง “บางประเทศอาจไม่ทำตามข้อตกลง เช่น อิรัก ที่เราคาดว่าคงไม่ร่วมมือในการลดปริมาณการผลิต รวมทั้งพื้นที่ปกครองตนเองของกลุ่มชาวเคิร์ด (ในอิรัก) ก็คงไม่ทำตามมติของรัฐบาลกลางเช่นกัน”

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,225 วันที่ 8 - 11 มกราคม พ.ศ.2560