สิงคโปร์ เสริมแกร่งสัมพันธ์อินโดฯ

26 พ.ย. 2559 | 07:00 น.
หลังการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาที่ปรากฏผลว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของพญาอินทรีย์ และเอเชียมีแปซิฟิกแนวโน้มอยู่ภายใต้อิทธิพลจีนมากขึ้น ผู้นำสิงคโปร์และอินโดนีเซีย หันมาจับมือเพิ่มความสัมพันธ์ ทั้งธุรกิจและการเมืองโดยการตั้งสภาธุรกิจร่วมและสร้างเมืองร่วมกัน

หนังสือพิมพ์สเตรตส์ไทม์ส รายงานว่าการพบปะกันระหว่างนายลีเซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์และนายโจโก วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทั้ง 2 ผู้นำ ประกาศว่าจะเสริมความสัมพันธ์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นโดยจะมีการจัดตั้งสภาธุรกิจร่วมกัน

สมาชิกสภาธุรกิจอินโดนีเซีย-สิงคโปร์ จะประกอบด้วยนักธุรกิจชั้นนำของ 2 ประเทศและมีคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจของสิงคโปร์และคณะกรรมการประสานงานการลงทุนของอินโดนีเซียเป็นประธานร่วม โดยนายลี กล่าวว่า “สภาธุรกิจฯที่จะจัดตั้งขึ้นจะช่วยให้ธุรกิจจาก 2 ประเทศเป็นเครือข่ายที่เข้าใจโอกาสทางธุรกิจที่เกิดขึ้นระหว่างกันได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น”

สเตรตส์ไทม์ส รายงานว่านอกจากการจัดตั้งสภาธุรกิจร่วมกันแล้ว สิงคโปร์และอินโดนีเซียยังได้ร่วมกันสร้างเมืองอุตสาหกรรมที่เซอมารัง ซึ่งเป็นเมืองชายฝั่งทางเหนือของเกาะชวา เดิมชื่อ เคนดัลอินดัสเตรียล ปาร์ก แต่ได้เปลี่ยนชื่อเป็น พาร์คบายเดอะเบย์ เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างบริษัทเซมคอร์ป ดีเวลลอปเม้นท์ รัฐวิสาหกิจของสิงคโปร์และบริษัทจาบาเบก้าของอินโดนีเซีย

โครงการ พาร์คบายเดอะเบย์ เป็นการสร้างเมืองอุตสาหกรรมในพื้นที่รวม 2,700 เฮกตาร์ (ประมาณ 16,875 ไร่) แบ่งออกเป็น 3 ระยะ มีกำหนดสร้างเสร็จทั้งโครงการในปี 2564 โดยจะเป็นการสร้าง 4 คลัสเตอร์อุตสาหกรรมอาหาร แฟชั่น เฟอร์นิเจอร์และวัสดุก่อสร้าง คาดว่าจะสร้างงานให้กับคนท้องถิ่นได้ 1แสนคนเมื่อเสร็จสิ้นโครงการโดยรัฐบาลอินโดนีเซียช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของแถบตอนกลางของชวา ทั้งการปรับปรุงสนามบิน สร้างถนนใหม่และทางรถไฟเชื่อมนครจาการ์ตา และพร้อมออกใบอนุญาตให้นักลงทุนได้ภายใน 3 ชั่วโมงหลังจาก ยื่นเอกสารขอลงทุนครบถ้วนแล้ว

สเตรตส์ไทม์ส ระบุว่าจุดที่น่าสนใจของโครงการพาร์คบายเดอะเบย์ คือเป็นครั้งแรกที่มีการกระจายการลงทุนของนักลงทุนสิงคโปร์เข้าสู่พื้นที่ชวากลาง ซึ่งเดิมมักจะกระจุกตัวอยู่ที่กรุงจาการ์ตา และเกาะบาตัมซึ่งอยู่ใกล้สิงคโปร์การลงทุนในแถบพื้นที่ชวากลางสอดคล้องกับแผนของรัฐบาลอินโดนีเซียในการกระจายเจริญเข้าสู่พื้นที่แถบตอนกลางของเกาะชวา

นอกจากการตั้งสภาธุรกิจฯและสร้างเมืองใหม่แล้ว ผู้นำของสิงคโปร์และอินโดนีเซียได้ร่วมเป็นสักขีพยาน การทำสัญญาร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐจาก 2 ประเทศ ในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานดิจิตอล การท่องเที่ยวและธุรกิจต้อนรับโดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจเรือสำราญและไมซ์ และการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่เมืองมักกะสัน (Makassar) ที่เกาะสุราเวสีใต้ โดยหน่วยงานของสิงคโปร์ที่จะไปช่วยพัฒนาเมืองอัจฉริยะคือ ไออีสิงคโปร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนของสิงคโปร์

สเตรตส์ไทม์ส ระบุว่า ที่ผ่านมา แม้ว่ารัฐบาลสิงคโปร์และอินโดนีเซีย จะมีปัญหาระหว่างประเทศกันเป็นระยะในเรื่องควันไฟป่าข้ามแดน การบริหารน่านฟ้า และการนิรโทษกรรมภาษีของอินโดนีเซียที่จะดึงเงินเศรษฐีอินโดฯจากสิงคโปร์กลับบ้าน แต่ก็สามารถเดินหน้าพัฒนาความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่สะดุด

การพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจเชิงลึกอย่างต่อเนื่องทำให้ใน 9 เดือนแรกปีนี้มีนักลงทุนสิงคโปร์ขนเงินมูลค่า 7,100 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.5 แสนล้านบาท) เข้าไปลงทุนในอินโดนีเซียกลายเป็นนักลงทุนอันดับต้น ๆ ของเมืองอิเหนาติดต่อกับเป็นปีที่ 2

สเตรตส์ไทม์ส ระบุว่า สิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างอินโดนีเซียและสิงคโปร์เดินทางมาอย่างต่อเนื่องคือ ธรรมเนียมการพบปะกันอย่างไม่เป็นทางการของผู้นำ 2 สิงคโปร์และประเทศเพื่อนบ้านซึ่งปฏิบัติกันมาอย่างต่อเนื่องปีละครั้งโดยการพบกันระหว่างนายลีและโจโกวี เป็นการพบกันอย่างไม่เป็นทางการครั้งแรกของ 2 ผู้นำหลังจากที่นายโจโกวี ได้เป็นประธานาธิบดีและเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว

การประชุมอย่างไม่เป็นทางการในปีนี้ ประธานาธิบดีโจโกวี เป็นเจ้าภาพจัดขึ้นที่เมืองเซอมารัง โดยคณะของนายลี มีภรรยาโฮ ชิง และรัฐมนตรีหลายกระทรวงร่วมมาด้วย มีการพบปะกันที่อาคารหลังเก่าที่เคยเป็นที่พำนักของผู้ว่าราชการชวากลาง โดยโปรแกรมการมีการพาชมสถานที่สำคัญและไปดูโครงการสร้างนิคมอุตสาหกรรมพาร์คบายเดอะเบย์ ร่วมกันด้วย

สเตรตส์ไทม์ส ระบุว่าธรรมเนียมการพบปะกันอย่างไม่เป็นทางการนี้เองที่ทำให้ผู้นำทั้ง 2 ฝ่าย ผลักดันความ สร้างสรรค์ความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจไปได้อย่างรวดเร็ว

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,212 วันที่ 24 - 26 พฤศจิกายน 2559