บทบาทในอนาคตของทายาทธุรกิจครอบครัวรุ่นใหม่

26 พ.ย. 2559 | 02:00 น.
ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนผ่านของธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่นของกลุ่มธุรกิจครอบครัวจะเป็นช่วงเวลาที่มีความอ่อนไหวเป็นอย่างมาก ปัญหาต่างๆ จะถูกยกขึ้นมาถกกันอย่างจริงจัง หากครอบครัวมีระบบบริหารจัดการที่ดีแล้วก็จะสามารถผ่านช่วงเวลาดังกล่าวไปได้และจะเข้มแข็งขึ้น แต่ก็มีธุรกิจครอบครัวจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถก้าวข้ามเหตุการณ์ดังกล่าวได้จึงนำความเสียหายมาให้กับธุรกิจและครอบครัว

จากการที่ PwC ได้ทำการสำรวจธุรกิจครอบครัว 2,802 รายจาก 50 ประเทศทั่วโลก ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2016 พบว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าเราจะได้เห็นการถ่ายโอนทรัพย์สินของคนต่างรุ่นมากที่สุดในยุคเศรษฐกิจสมัยใหม่ (Modern Economy) ซึ่งทรัพย์สินจำนวนมากนี้จะอยู่ในรูปแบบหุ้นส่วนของธุรกิจครอบครัวซึ่งเป็นวิธีที่มีความมั่นคงต่อการวางแผนการสืบทอดกิจการซึ่งเป็นกุญแจสำคัญอันดับต้นๆสำหรับกลุ่มธุรกิจครอบครัวทั้งหมด และจะช่วยให้เศรษฐกิจมีความยั่งยืน

ซึ่งแม้การเปลี่ยนแปลงนี้นำไปสู่ความเสี่ยงครั้งใหญ่แต่จะเป็นการเปิดโอกาสให้กับทายาทรุ่นใหม่ที่มีความทะเยอทะยานและเปิดใจมากกว่า และได้รับการเตรียมความพร้อมที่ดีกว่าที่เคยทำมาก่อนหน้านี้

ทั้งนี้จากการที่ในช่วงต้นปีนี้ PwC ได้ทำการสำรวจทายาทรุ่นใหม่ที่เป็นผู้นำธุรกิจครอบครัว เพื่อค้นหาว่าอะไรคือสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญและพวกเขามองอนาคตอย่างไร ซึ่งผลการสำรวจก็พบว่าทายาทรุ่นใหม่นั้นมีความทะเยอทะยาน มีพลวัตรและเปิดรับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ พวกเขาต้องการให้ธุรกิจที่บริหารอยู่มีความแตกต่างจากผู้นำคนก่อนหน้า โดยพวกเขาต้องการเสาะหาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ และตลาดใหม่ๆ อีกทั้งยังสนใจโลเคชั่นใหม่ๆและโมเดลธุรกิจใหม่ๆ อีกด้วย

โดย 88% ของผู้ถูกสำรวจบอกว่าพวกเขาต้องการทำสิ่งพิเศษที่จะทำให้เป็นที่รู้จักได้จริงๆ และ 79% มีไอเดียจำนวนมากเกี่ยวกับว่าจะทำให้ธุรกิจก้าวหน้าไปได้อย่างไร ขณะที่ 59% ต้องการสร้างความหลากหลายให้กับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่เสนอต่อผู้บริโภค แต่อย่างไรก็ตามมีถึง 68% ที่เชื่อว่าบริษัทของพวกเขาไม่น่าจะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้แม้ในอีก 10 ข้างหน้า (ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจธุรกิจครอบครัว) ซึ่งนี่อาจเป็นเหตุผลว่าเหตุใด 47% ของทายาทรุ่นใหม่จึงมองหาการลงทุนคู่ขนานไปกับสิ่งที่ธุรกิจหลักทำอยู่ ทั้งนี้ทายาทรุ่นใหม่จำนวนมากในปัจจุบันเป็นคนรุ่น Gen-M หรือ Millennial Generation ที่เข้ามาทำงานด้วยความคาดหวังที่แตกต่าง

การจัดลำดับความสำคัญที่แตกต่างและมักมีความคุ้ยเคยกับเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งทั้งหมดนี้จะมีอิทธิพลต่อทิศทางในอนาคตของกลุ่มธุรกิจครอบครัว และพวกเขาได้รับประโยชน์มากมายจากการเรียนบริหารธุรกิจซึ่งทำให้มีเครื่องมือในการวิเคราะห์สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องนำมาใช้ในการดำเนินกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพและการวางแผนในระยะกลาง ซึ่งการถ่ายโอนกิจการที่กำลังจะมาถึงนี้มีความน่าสนใจและมีความสำคัญมากว่าธุรกิจครอบครัวจะดำเนินไปในทิศทางใด เนื่องจากคนที่จะเข้ามารับช่วงบริหารธุรกิจครอบครัวในอีก 5-10 ปีข้างหน้าจะมองและคิดแตกต่างจากผู้บริหารในรุ่นปัจจุบันนั่นเอง

ที่มา: PwC. 2016. The ‘missing middle’: Bridging the strategy gap in family firms. Family Business Survey 2016. Available: http://www.pwc.com/gx/en/family-business-services/global-family-business-survey-2016/pwc-global-family-business-survey-2016-the-missing-middle.pdf

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,212 วันที่ 24 - 26 พฤศจิกายน 2559