คำตอบของคำถาม‘ทำไมคนไทยซื้อข้าวถุงแพง?’
ความพยายามนำข้าวสารออกมาขายโดยตรงของบรรดาชาวนาในหลายจังหวัด ทั้งที่ผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เป็นประเด็นที่ทำให้เกิดกระแสดราม่าขึ้นโดยเฉพาะในโลกออนไลน์ และเกิดคำถามกับคนไทยว่า ทำไมคนไทยบริโภคข้าวสารบรรจุถุงแพง? ทั้งๆ ที่ชาวนาขายข้าวได้ราคาถูกและตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากเราตัดประเด็นทางการเมืองที่ถูกหยิบมาเป็นเหตุผลของการทำให้ข้าวราคาตก แล้วทำการวิเคราะห์หาเหตุและผล รวมถึงดูกลไกลตลาดอย่างแท้จริง อาจจะมีคำตอบที่พอจะเห็นได้ว่าทำไมราคาข้าวถุงจึงแพงกว่าข้าวที่ชาวนาขาย
กลไกลตลาดดันราคา
แหล่งข่าวในวงการข้าวสารบรรจุถุงรายหนึ่ง ให้มุมมองถึงปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันว่า ราคาพืชผลทางการเกษตรโดยเฉพาะข้าว เป็นเรื่องของกลไกตลาดตามหลักดีมานด์และซัพพลายที่ไม่สอดคล้องกัน หากฤดูกาลใดผลผลิตออกมามาก ราคาก็ต้องตกลงเป็นเรื่องธรรมดา ในทำนองเดียวกันหากปริมาณผลผลิตมีน้อยราคาก็เพิ่มสูงขึ้น ยิ่งตลาดข้าวไทยไม่ได้จำกัดไว้เฉพาะแค่ในประเทศ แต่ยังคงผูกพันกับตลาดโลกด้วยเช่นกัน เมื่อตลาดโลกในปีนี้มีดีมานด์การซื้อข้าวไทยน้อย แต่ปริมาณข้าวมีเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ตลาดที่เคยส่งออกได้จำนวนมากกลับลดลง ผู้ค้าหลายรายจึงหันกลับมาทำตลาดในประเทศแทน ราคาข้าวจึงลดลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อตลาดส่งออกไม่ได้ดีเหมือนก่อน บรรดาโรงสีและผู้ค้าที่ส่งออกข้าวไปต่างประเทศจึงมีข้าวในสต็อกจำนวนมาก และบางโกดังก็เต็มพื้นที่เก็บ จึงไม่กล้าที่จะรับซื้อข้าวจากชาวนาเพิ่มเติม ขณะที่ชาวนาอยากระบายข้าวที่เป็นผลผลิตในฤดูกาลใหม่ออก เพราะต้องการเงินและไม่สามารถเก็บข้าวไว้เองได้จึงต้องยอมขายข้าวในราคาตลาด
ค่าการตลาดบวกตลอดเส้นทาง
ไม่เพียงแต่กลไกดีมานด์และซัพพลายที่มีผลต่อราคาข้าวที่ชาวนาจะได้รับแล้ว เส้นทางการเดินของสินค้าตั้งแต่ต้นจนถึงปลายทาง ที่ผู้บริโภคเลือกซื้อตามช่องทางต่างๆ นั้น ล้วนแต่ถูกบวกไปด้วยกำไรและค่าบริหารจัดการต่างๆ ทั้งสิ้น จึงเป็นเรื่องปกติของสินค้าทุกชนิดบนโลก ที่แม้ว่าจะมาจากจุดกำเนิดเดียวกัน แต่หากมีเส้นทางเดินไปยังช่องทางการจัดจำหน่ายที่แตกต่างกัน ย่อมมีราคาปลายทางที่แตกต่างกันนั่นเอง
เรื่องนี้อธิบายได้ง่ายๆ ตามหลักการตลาด เมื่อข้าวเปลือกที่ชาวนาขายออกไปให้กับโรงสีข้าว โรงสีต้องมีกระบวนการในการสีข้าว จากข้าวเปลือกมาเป็นข้าวสาร นอกจากต้นทุนด้านโรงงานและการบริหารจัดการ ทั้งคน ทั้งระบบต่างๆ แล้ว ข้าวเปลือกที่ถูกสีเป็นข้าวสารยังมีปริมาณลดลง ข้าวเปลือก 1 กิโลกรัมถูกสีออกมาเป็นข้าวสารจะได้เพียง 500-600 กรัมเท่านั้น ปริมาณที่หายไปโรงสีจึงต้องบวกราคาเข้าไปเป็นต้นทุน หลังผ่านกระบวนการสีแล้ว
ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจข้าวสารบรรจุถุง เมื่อซื้อข้าวจากโรงสีมาก็ต้องมีกระบวนการปรับปรุงข้าวเพื่อให้ได้คุณภาพ การคัดแยกสิ่งปลอมปน หรือแม้แต่ข้าวที่หักออกไปนั่นก็คือต้นทุน รวมกับค่าจัดเก็บไว้อย่างน้อย 8 เดือนก่อนออกจำหน่าย เพราะคนไทยนิยมรับประทานข้าวเก่า นี่ก็เป็นต้นทุนเช่นกัน เพราะการจัดเก็บข้าวมีหลากหลายวิธีและหลายรูปแบบ
เมื่อข้าวที่ผ่านกระบวนการจัดเก็บและบรรจุเป็นถุงแล้ว ก็จะนำไปสู่ขั้นตอนการตลาด ทั้งการสร้างแบรนด์ การโฆษณาส่งเสริมการขาย และการกระจายสินค้า โดยเฉพาะค่าวางจำหน่ายสินค้าซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงไม่น้อย แต่ผู้ค้ายอมจ่ายเพราะเป็นช่องทางที่นำสินค้าไปถึงมือผู้บริโภคได้ครอบคลุมทั่วประเทศ ห้างเป็นช่องทางโมเดิร์นเทรดจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าช่องทางเทรดดิชั่นนอลเทรด นี่ก็เป็นอีกหนึ่งต้นทุนสำคัญที่ถูกบวกไปในราคาข้าวถุง
ขายตรงหนี้ต้นทุนพุ่ง
การออกมาขายข้าวสารโดยตรงของบรรดาชาวนาในหลายพื้นที่ เป็นวิธีการหนึ่งในความพยายามของชาวนาที่หาทางรอดจากราคาข้าวตกต่ำ โดยชาวนารายหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ยอมรับว่า ข้าวที่ชาวนาขายเป็นข้าวที่คุณภาพไม่เหมือนกับข้าวสารบรรจุถุงขายอยู่ในห้างสรรพสินค้า เพราะความสามารถของชาวนาไม่สามารถทำคุณภาพให้เทียบเท่าได้ และยังพบว่าการขายยังมีอุปสรรคในเรื่องของการจัดส่งสินค้า ที่มีต้นทุนสูง กิโลกรัมละหลายสิบบาทจนถึงเป็นหลักร้อยบาท ขึ้นอยู่กับปริมาณและพื้นที่การจัดส่ง สิ่งที่ชาวนาทำได้คือการขายข้าวในพื้นที่หรือจังหวัดใกล้เคียงเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังสะท้อนมุมมองให้เห็นว่า ราคาข้าวที่ชาวนาขายโดยตรงถึงมือลูกค้า กับราคาข้าวที่ผู้ประกอบการข้าวสารบรรจุถุงขายไม่ได้แตกต่างกันมากนัก หากเปรียบเทียบในคุณภาพของข้าวในระดับเดียวกัน ซึ่งราคาข้าวที่ชาวนาขายปลีกปัจจุบันอยู่ที่ 23-25 บาทต่อกิโลกรัม ราคาดังกล่าวก็เป็นราคาที่ชาวนาบวกกำไรไปแล้วเช่นกัน เพราะข้าวเปลือกจำนวน 10 กิโลกรัมเมื่อสีออกมาเป็นข้าวเปลือกจะได้ข้าวสารเพียง 6 กิโลกรัมเท่านั้น และหากไม่มีเครื่องสีข้าวเป็นของตนเองยังต้องเสียค่าสีอีกต่างหาก แต่เป็นกำไรที่บวกเข้าไปถือว่าเป็นราคาที่สมเหตุสมผล ซึ่งการที่ชาวนาพยายามดิ้นรนออกมาขายข้าวเอง เป็นเพราะยังขาดทุนกับการขายข้าวเมื่อเทียบกับต้นทุนที่ได้ลงไป ราคาข้าวเปลือกปัจจุบันหากเป็นข้าวที่มีความชื้น มีราคากิโลกรัมละ 6.60 บาท และข้าวตากแห้งมีราคากิโลกรัมละ 8-9 บาท หากจะให้ชาวนาทำนาได้คุ้มค่าและมีกำไรจะต้องมีราคาขายไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 15 บาท เนื่องจากชาวนามีต้นทุนในการปลูกข้าวจำนวนมาก อาทิ ค่าไถ่นา 450 บาทต่อไร่ ค่าปุ๋ย 700 บาทต่อไร่ ค่าหว่าน 400 บาทต่อไร่ ค่าเก็บเกี่ยวอีก 550 บาทต่อไร่ เป็นต้น
ผู้บริโภคมีทางเลือก
แม้คำถามในใจหลายคนยังมีอยู่ ทำไมคนไทยกินข้าวถุงแพง? ทั้งๆ ที่ราคาข้าวที่ชาวนาขายถูกกว่าหลายเท่าตัว เราคงต้องกลับมาตั้งหลักหาคำตอบกันอีกครั้ง เพราะข้าวที่ถูกนำมาเปรียบเทียบกันนั้น จริงๆ แล้วคุณภาพและคุณลักษณะข้าวไม่ได้เหมือนกัน การเปรียบเทียบและกล่าวหาว่าข้าวบรรจุถุงแพงกว่า อาจจะไม่ยุติธรรมนัก แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าผู้ประกอบการบวกกำไรต่างๆ จำนวนมากเข้าไปในราคาข้าวถุงตั้งแต่ต้นจนถึงมือผู้บริโภค จึงไม่อาจจะพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าข้าวถุงมีราคาถูก
แต่การตลาดในยุคปัจจุบันถือว่าตลาดเป็นของผู้บริโภคโดยแท้จริง เพราะมีทางเลือกกับการซื้อข้าวมาบริโภคได้หลากหลายช่องทาง และหลากหลายชนิด ตามความต้องการและกำลังซื้อ หากจะพึงพอใจต่อการบริโภคข้าวของชาวนาที่เป็นข้าวฤดูกาลใหม่ และข้าวที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการปรับปรุงให้มีคุณภาพดีเหมือนกับข้าวถุง ก็ย่อมเป็นสิทธิ์ของผู้บริโภคเช่นกัน สุดท้ายเชื่อได้ว่ากลไกตลาดนั่นแหละจะเป็นตัวผลักดันให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าได้ถูกหรือแพง
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,207 วันที่ 6 - 9 พฤศจิกายน 2559