บล.ทรีนีตี้แนะโฟกัสการลงทุนหุ้นขนาดกลาง-เล็กหลังฟันด์โฟลว์ผ่านจุดสูงสุด

26 ต.ค. 2559 | 08:05 น.
บล.ทรีนีตี้ แนะจับตาหุ้นขนาดกลาง-เล็ก มาแรงเหนือหุ้นขนาดใหญ่และดัชนีหุ้นไทย หลังหุ้นขนาดใหญ่ขาดแรงหนุนรอบด้าน ทั้งประมาณการกำไรที่เตรียมถูกปรับลด ฟันด์โฟลว์ที่ผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว และแรงหนุนจากกองทุน LTF และ RMF ในช่วงปลายปีที่ค่อนข้างจำกัด

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดทุนหุ้นไทยในช่วงหลังกลางเดือนตุลาคม 2559 ที่ผ่านมา มีสถานการณ์ที่น่าสนใจจากการปรับตัวขึ้น (Outperform) ของราคาหุ้นกลุ่มขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่ชนะกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่อย่างชัดเจน โดยหากนับตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2559 จนถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2559 พบว่า SET Index ให้ผลตอบแทนแล้วกว่า 6.6% เมื่อเทียบกับ SET50 ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 4.7% เท่านั้น

ทั้งนี้คาดการณ์ว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กนี้มีโอกาสสูงที่จะปรับตัว Outperform ต่อไปอีกจนถึงช่วงต้นปีหน้า เนื่องจากหุ้นขนาดใหญ่จะเผชิญปัจจัยกดดันที่สำคัญ ได้แก่ ประมาณการกำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่มีโอกาสถูกปรับลดจากแนวโน้มการตั้งสำรองฯที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลง โดยถึงแม้ว่าประมาณการของกลุ่มพลังงานจะมีโอกาสถูกปรับขึ้น แต่มองว่าจะไม่เพียงพอที่จะชดเชยผลกระทบดังกล่าวได้

ขณะที่การไหลเข้าของกระแสเงินทุนต่างชาติ (Fund flow) มองว่าได้ผ่านจุดสูงสุดของปีนี้ไปแล้วในช่วงไตรมาส 3/2559 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะชะลอลงนับจากนี้ จากแนวโน้มการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) รัฐบาลสหรัฐอเมริกา รวมถึงการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากขณะนี้ตลาดยังคงให้น้ำหนักการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในเดือนธันวาคมเพียงแค่ 70% เท่านั้น

นอกจากนั้นยังคาดการณ์ผลกระทบจากการไหลเข้าของเม็ดเงินกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ในช่วงปลายปีนี้ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงแล้ว ประกอบกับการขยายระยะเวลาการถือครองกองทุน LTF จากเดิม 5 ปีปฏิทินไปเป็น 7 ปีปฏิทิน มีผลทำให้นักลงทุนลดความน่าสนใจในการเข้าซื้อกองทุนดังกล่าว

ปัจจัยสุดท้าย คาดการณ์เม็ดเงินจากกองทุน LTF ที่จะถูกไถ่ถอนในช่วงต้นปี 2560 มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 15% ของยอดซื้อกองทุนที่เกิดขึ้นทั้งหมดในปี 2556 (นับ 5 ปีปฏิทินก่อนหน้า) ซึ่งมีผลกระทบต่อกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่โดยตรงเพราะถือเป็นกลุ่มหุ้นที่มีสัดส่วนการถือครองของกองทุนมากที่สุด โดยจากการคำนวณต้นทุนของผู้ที่ได้เข้าซื้อกองทุน LTF ไปเมื่อปี 2556 พบว่ามีต้นทุนการเข้าซื้อเฉลี่ยที่ระดับ SET Index 1,406 จุด ซึ่งคิดเป็นกำไรจากการถือครองแล้วประมาณ 6.7% ที่ระดับดัชนีประมาณ 1,500 จุด

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้เน้นเข้าลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มี Upside จากระดับราคาปัจจุบัน ได้แก่ GL, JMT, COM7, JMART, ALT, INET,  PYLON, SEAFCO, TTCL, SCI, TPCH, ANAN และ RML