คาดช้อปปิ้งคริสต์มาสคึกคัก เงินเฟ้อต่ำ-ค่าแรงเพิ่มหนุนกำลังซื้อผู้บริโภคมะกัน

21 ตุลาคม 2559
กลุ่มธุรกิจค้าปลีกของสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า การใช้จ่ายในช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปีนี้จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าเมื่อปีก่อน แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีและสภาพอากาศ

สมาพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติของสหรัฐฯ (เอ็นอาร์เอฟ) เปิดเผยว่า ทางสมาพันธ์คาดการณ์ยอดขายในช่วงเทศกาลคริสต์มาสปลายปีนี้ โดยไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน และร้านอาหาร เพิ่มขึ้น 3.6% เป็น 6.558 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงกว่าการเติบโตเฉลี่ย 3.4% นับตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2552 ขณะที่ยอดขายเมื่อปีก่อนเติบโตได้เพียง 3.0% ต่ำกว่าที่เอ็นอาร์เอฟคาดการณ์ไว้ที่ 3.7%

ขณะที่การศึกษาล่าสุดจากบริษัทที่ปรึกษา พีดับเบิลยูซี ระบุว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลคริสต์มาสคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10% เป็นระดับที่สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551 “จากการคาดการณ์ของเรา ช่วงเทศกาลปลายปีนี้จะเป็นปีที่ดีที่สุดในรอบหลายปีสำหรับผู้ค้าปลีก” สตีเฟน บาร์ นักวิเคราะห์จากบีดับเบิลยูซี กล่าว

อย่างไรก็ดี เอ็นอาร์เอฟกล่าวว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน อาจกลายมาเป็นตัวแปรที่ส่งผลกระทบต่อการค้าปลีกในช่วงปลายปี

ด้านสภาศูนย์การค้านานาชาติ (ไอซีเอสซี) คาดการณ์แนวโน้มที่สดใสช่วงปลายปีนี้เช่นเดียวกัน โดยคาดว่าการใช้จ่ายตามร้านค้าต่างๆ จะเพิ่มขึ้น 3.3% เทียบกับปีก่อนที่เพิ่มขึ้น 2.2% ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า มีแผนจะใช้จ่ายโดยเฉลี่ย 683.90 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีนี้ “เราเห็นความตั้งใจที่จะใช้จ่ายที่เป็นบวกของผู้บริโภคก่อนช่วงเทศกาล” ทอม แมคกี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไอซีเอสซี กล่าว

การใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวอเมริกันในปีนี้มีความแข็งแกร่ง เนื่องจากอานิสงส์ของอัตราเงินเฟ้อต่ำ ค่าแรงที่เพิ่มขึ้น และอัตราการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคเปลี่ยนการใช้จ่ายไปเป็นการซื้อสินค้าออนไลน์และเดินเข้าร้านค้าน้อยลง โดยข้อมูลจากรีเทลเมทริกซ์แสดงให้เห็นว่า ในขณะที่ยอดขายโดยรวมในช่วงเทศกาลคริสต์มาสปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น แต่ทราฟฟิกของผู้บริโภคที่เดินเข้าไปซื้อสินค้าในร้านค้านั้นลดลง

นอกจากนี้ พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังเปลี่ยนจากการซื้อสินค้าจำนวนมากตามร้านค้าปลีก ไปเป็นการใช้จ่ายกับบริการและซื้อประสบการณ์ เช่น การท่องเที่ยว ความบันเทิง และอาหาร “แนวโน้มเช่นนี้จะเกิดขึ้นต่อไป และจะกลายมาเป็นปัญหาต่อการใช้จ่ายด้านค้าปลีก” แจ๊ค ไคลน์เฮนซ์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเอ็นอาร์เอฟให้ความเห็น

ไคลน์เฮนซ์กล่าวอีกว่า ราคาสินค้าที่ถูกลงทำให้ผู้บริโภคใช้จ่ายน้อยลงเพื่อซื้อสินค้าชิ้นเดียวกัน ซึ่งนับเป็นความท้าทายสำหรับร้านค้าปลีกที่ต้องขายสินค้ามากขึ้นแสดงให้เห็นว่ายอดขายเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เอ็นอาร์เอฟคาดการณ์ว่า ยอดขายสินค้านอกร้านค้า ซึ่งรวมถึงการซื้อสินค้าทางออนไลน์ จะเพิ่มขึ้นประมาณ 7-10% เป็น 1.17 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ผลวิจัยของพีดับเบิลยูซีคาดการณ์ยอดขายอี-คอมเมิร์ซเพิ่มขึ้น 25%

ฟอร์เรสเตอร์ ดาต้า คาดการณ์ว่า ในอีก 4 ปี 42% ของยอดขายที่ซื้อผ่านร้านค้ารูปแบบดั้งเดิมในสหรัฐฯ จะได้รับอิทธิพลจากอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการที่ผู้ซื้อเลือกซื้อสินค้าโดยเห็นจากออนไลน์เป็นอันดับแรก หรือเปิดดูรีวิวบนสมาร์ทโฟนในขณะที่กำลังเลือกซื้อสินค้าในร้าน เป็นต้น

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,202 วันที่ 20 - 23 ตุลาคม พ.ศ. 2559