รับสั่งจากในหลวง‘ให้ช่วยประชาชน’ สุดประทับใจ ของปลัดกระทรวงเกษตรฯ

20 ตุลาคม 2559
ในช่วงแห่งความเศร้าโศกเสียใจของพสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และเพื่อร่วมถวายความจงรักภักดีอย่างหาที่สุดมิได้ ทาง “ฐานเศรษฐกิจ” ได้เปิดคอลัมน์พิเศษเพื่อบันทึกความทรงจำสำหรับบุคคลที่ได้มีโอกาสรับใช้เบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯขึ้น บุคคลแรกที่ได้เล่าถึงความประทับใจในฉบับนี้ คือ “ธีรภัทร ประยูรสิทธิ” ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์คนปัจจุบัน

[caption id="attachment_107114" align="aligncenter" width="335"] ธีรภัทร ประยูรสิทธิ ธีรภัทร ประยูรสิทธิ[/caption]

รูปที่ต้องมีทุกบ้าน

โดย “ธีรภัทร” ได้เล่าว่าเมื่อกว่า 50 ปีที่ผ่านมา ที่บ้านมีพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯเป็นรูปขาวดำ คุณตาคุณยายได้มาและติดไว้สูงเหนือศีรษะ คุณตารับราชการเป็นผู้พิพากษาเล่าพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านให้ฟังตลอดเวลาและจะชอบติดตามข่าวพระราชสำนักทุกคืน ซึ่งทำให้เห็นพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินด้วยรถยนต์และเฮลิคอปเตอร์ไปในป่าลึกและภูเขาสูงเยี่ยมประชาชนเกือบทุกวัน

“ช่วงปี 2527 ผมจบจากคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระองค์ท่าน เป็นความภาคภูมิใจมากครั้งหนึ่งของชีวิต และตั้งใจว่าจะทำงานสนองพระราชดำริของพระองค์ท่านให้ได้ จากนั้นได้มาทำงานที่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผมใช้ชีวิตอยู่กับป่าและพี่น้องเกษตรกรรอบผืนป่าอยู่นานและได้นำแนวพระราชดำริปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้กับพี่น้องเกษตรกรในแนวเขตกันชนรอบผืนป่าเพื่อให้ช่วยกันรักษาป่าต้นนํ้าทำงานในป่าอยู่นานจนคิดว่าชั่วชีวิตนี้คงได้แค่เฝ้ารับเสด็จฯและมองพระองค์ท่านเหมือนคนทั่วไปจากระยะไกลหรือจากโทรทัศน์ แต่ในใจลึกๆ มีความฝันว่าวันหนึ่งปาฏิหารยิ ์อาจมีจริง”

ครั้งหนึ่งในชีวิต

วันที่ 9 มกราคม 2557 ขณะที่ผมทำหน้าที่รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ไปตรวจงานในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ช่วงเวลา 16.00 น. เป็นเวลาที่ผมกำลังขึ้นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ เข้าไปกลางป่าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการอนุรักษ์ช้างป่าตามแนวพระราชดำริ รถกำลังเคลื่อนผ่านด่านตรวจที่เสมือนเป็นเส้นแบ่งแห่งกาลเวลาที่ไม่สามารถติดต่อโลกภายนอกได้เพราะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ เพื่อเข้าไปช่วยเหลือชีวิตกระทิงที่ล้มตายจำนวนมากอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นแบบแผ่วๆ จากหัวหน้าวนอุทยานปราณบุรีว่า “อีก 30 นาทีพระองค์ท่านจะเสด็จพระราชดำเนินมาที่วนอุทยานครับ” ในฐานะที่ผมกำกับดูแลพื้นที่บริเวณนั้น ไม่รอช้า บอกพนักงานขับรถให้พาไปที่จุดหมาย โดยนำรถมาจอดใกล้รั้ววนอุทยานปราณบุรี ตำรวจปิดเส้นทางเข้าออกเพื่อเตรียมรับเสด็จฯ ผมต้องวิ่งอ้อมเข้าด้านหลังเป็นระยะทาง 1.5 กิโลเมตร เพื่อให้ไปถึงจุดรับเสด็จฯจุดแรกให้ทัน แล้วผมก็วิ่งมาถึงจุดตั้งแถวที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์กำลังยืนรับเสด็จฯอยู่เมื่อเวลา 17.15 น. พร้อมทั้งได้ยินเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมีที่กำลังจะจบลง ผมเหนื่อยมาก ยืนหอบและดีใจมากที่สุดในชีวิต และคิดย้อนกลับไปว่าหากเวลาเดินเร็วกว่านี้ 5 นาที ผมคงผ่านเข้าไปอยู่กลางป่าลึกและไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ เสด็จฯเป็นการส่วนพระองค์จากพระราชวังไกลกังวล มาที่วนอุทยานปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เพื่อทรงศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนที่ศูนย์เรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินีเสด็จทอดพระเนตรต้นโกงกางที่ทรงปลูกเมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนั้นพระองค์ท่านได้เสด็จพระราชดำเนินตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่กรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ร่วมกับบริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) ที่พลิกฟื้นนากุ้งร้างให้กลับมาเป็นป่าชายเลนที่สมบูรณ์ดังเดิมทรงเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรป่าชายเลนและลำนํ้าที่มีต้นนํ้าจากป่าเพชรบุรี ทรงปล่อยปลาและปูคืนสู่ท้องทะเลและเตรียมเสด็จพระราชดำเนินกลับ

ปาฏิหาริย์มีจริง

“ธีรภัทร” กล่าวว่า ขณะนั้นเวลา18.00 น. ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นจริงครับพระองค์ท่านได้มีพระราชดำรัสให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลพื้นที่นั้นเข้าไปถวายรายงานวินาทีนั้นผมรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง เหมือนอยู่ในความฝันแต่ไม่ใช่มันเป็นเรื่องจริงผมคลานเข้าไปนั่งอยู่หน้าพระพักตร์ของพระองค์ท่าน ได้ถวายรายงานและเห็นพระองค์ท่านทอดพระเนตรความเขียวขจีของป่าที่อยู่ติดกับลำคลองที่มีต้นนํ้าจากกลุ่มป่าแก่งกระจาน มีนกยางขาวและนกกระเต็นบินไปบินมาเหนือท้องฟ้าที่กำลังจะมืด ทรงพระสรวลและทรงพระเกษมสำราญมาก ช่วงนั้นมีพระราชดำรัสด้วยพระสุรเสียงเบาๆ “ให้ดูแลป่าต้นนํ้าและป่าชายเลนให้ดี ป่ามีประโยชน์ ให้ดูเรื่องนํ้าเพื่อการทำเกษตรและเพื่อประโยชน์กับสัตว์ป่าหน้าแล้ง และให้ช่วยเหลือประชาชน...ช่วยประชาชน” ผมได้ยินเสียงตัวเองดังขึ้น “ข้าพระพุทธเจ้าจะทำงานช่วยประชาชนให้ดีที่สุด ส่งเสริมความรู้ให้ประชาชนรู้คุณค่าของป่าและนํ้า...ขอพระองค์ทรงพระเจริญ...แล้วผมก็ก้มลงกราบพระบาท พร้อมได้ยินเสียงดังกึกก้อง “ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ”จากราษฎรนับร้อยคนที่มาเข้าเฝ้าฯรับเสด็จ จากนั้นพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินกลับ เมื่อเวลา 18.40 น.

ช่วงนั้น แม้พระองค์ท่านประชวรและอยู่ระหว่างการพักฟื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แต่พระองค์ท่านยังมีพระราชกรณียกิจเสด็จพระราชดำเนินหลายพื้นที่ ทรงเยี่ยมราษฎรที่ป่าละอูและห้วยสัตว์ใหญ่ ติดตามเรื่องนํ้าที่เขื่อนแก่งกระจาน พระองค์ท่านทรงห่วงใยประชาชนและไม่ทิ้งประชาชนจริงๆ

สานพระราชดำรัส

เมื่อผมมาปฏิบัติงานที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผมทำในสิ่งที่ได้กราบบังคมทูลพระองค์ท่านไว้ พวกเราได้ดำเนินงานตามโครงการพระราชดำริมากมายเรื่องนํ้า ดิน การทำฝนหลวง การส่งเสริมการปลูกพืชเกษตร เลี้ยงปศุสัตว์และทำประมง โดยเฉพาะนโยบายของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ) ที่ให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงทุกคนยึดหลักปฏิบัติปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ดำเนินชีวิตและปฏิบัติงาน และให้ขยายผลเกษตรทฤษฎีใหม่ให้เกษตรกร 70,000 ครอบครัว ทำในพื้นที่ของตนเอง พวกเราได้เร่งเพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมก่อนวันที่ 5 ธันวาคม 2559

หลังจากมีประกาศการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ในวันที่ 13 ตุลาคม2559 เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราจากทุกกรมในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เคยถวายงานพระองค์ท่าน มาร่วมกันส่งพระบรมศพที่ท้องสนามหลวง พวกเรามาจับจองสถานที่ตั้งแต่เวลา 07.00 น. นั่งเบียดเสียดอยู่กลางแดดที่ร้อนแรงริมถนนราชดำเนิน ช่วงบ่ายมองเห็นหลายคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นลมหมดสติแต่ก็ยังกลับมานั่งต่อในช่วงเวลาต่อมา ผู้คนรอบข้างร้องไห้และเช็ดนํ้าตา ช่วงนั้นพระราชดำรัสของพระองค์ท่านยังดังกึกก้องอยู่ในจิตใต้สำนึกของผมตลอดเวลา ผมได้บอกกับชาวเกษตรทุกคนว่า “อดทนอีกสักพักท่านเหนื่อยมากกว่าเรา ท่านทรงงานมา70 ปีเพื่อคนไทยทุกคน พวกเรามารอให้ท่านเห็นว่ามีคนรักท่านมากแค่ไหน”

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,202 วันที่ 20 - 22 ตุลาคม พ.ศ. 2559