ลดความขัดแย้ง ด้วยการสร้างที่ยึดเหนี่ยว

16 ต.ค. 2559 | 01:00 น.
จากการที่ EY Americas Family Business Services ร่วมกับ Kennesaw State University ได้ทำการสำรวจธุรกิจครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก จำนวน 525 รายทั่วโลก ซึ่งธุรกิจครอบครัวที่ทำการสำรวจนั้นบางรายมีอายุยาวนาน มีขนาดใหญ่และประสบความสำเร็จที่สุดในโลก พบว่า มีธุรกิจครอบครัวถึง 45% ที่กำลังเผชิญความขัดแย้งที่ไม่สร้างสรรค์อยู่ (Dysfunctional Conflict) ซึ่งจากผลการสำรวจยังแนะแนวทางการจัดการความขัดแย้งที่เหมาะสมโดยการส่งเสริมความเหนียวแน่น การสื่อสารและการมีส่วนร่วมของครอบครัว นอกจากนี้ข้อมูลจากการสำรวจยังชี้ให้เห็นบทบาทสำคัญของความเหนียวแน่นในการลดความขัดแย้ง โดยพบว่า 57% ของครอบครัวที่มีความขัดแย้งต่ำจะมีความเหนียวแน่นสูง ขณะที่มีเพียง 47% ของครอบครัวที่มีความขัดแย้งสูงที่รายงานว่ามีความเหนียวแน่นสูงด้วย นอกจากนี้ยังพบว่ามีเพียง 6% ของครอบครัวที่มีความขัดแย้งต่ำที่มีความเหนียวแน่นต่ำด้วยเช่นกัน ขณะที่มี 13% ของครอบครัวที่มีความขัดแย้งสูงรายงานว่ามีความเหนียวแน่นต่ำ (ภาพที่ 1)

[caption id="attachment_105905" align="aligncenter" width="700"] ครอบครัวที่มีความขัดแย้งสูงรายงานว่ามีความเหนียวแน่นต่ำ ครอบครัวที่มีความขัดแย้งสูงรายงานว่ามีความเหนียวแน่นต่ำ[/caption]

ทั้งนี้จากการสำรวจพบว่ามี 2 กิจกรรมที่มีความสำคัญต่อการลดความขัดแย้งในธุรกิจครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ ดังนี้

[caption id="attachment_105906" align="aligncenter" width="700"] การสื่อสารเป็นปัจจัยที่มีความเกี่ยวข้องมากที่สุดกับความขัดแย้งระดับต่ำ การสื่อสารเป็นปัจจัยที่มีความเกี่ยวข้องมากที่สุดกับความขัดแย้งระดับต่ำ[/caption]

1.สร้างการมีส่วนร่วมในการสื่อสาร จากการสำรวจพบว่าการสื่อสารเป็นปัจจัยที่มีความเกี่ยวข้องมากที่สุดกับความขัดแย้งระดับต่ำ ดังภาพที่ 2 แสดงถึงตัวอย่างกลไกในการสื่อสารและหัวข้อจากการสำรวจ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าครอบครัวที่มีความขัดแย้งต่ำมีการสื่อสารที่มากกว่า โดยผู้ถูกสำรวจรายงานว่า 90% มีการประชุมครอบครัวหรือผู้ถือหุ้นเป็นประจำเพื่ออภิปรายประเด็นทางธุรกิจ ขณะที่ 70% มีการประชุมครอบครัวเพื่ออภิปรายประเด็นทางธุรกิจ และ 64% มีสภาครอบครัวที่ทำการประชุมกันเป็นประจำ ทั้งนี้ยังพบว่าการใช้โซเชียลมีเดียในการติดต่อกันอยู่เสมอกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่การใช้โทรศัพท์ยังคงเป็นช่องทางการสื่อสารพื้นฐานสำหรับทั้งธุรกิจและครอบครัว ส่วนโซเชียลมีเดียถูกใช้ในการสื่อสารในธุรกิจ (43%) มากเป็น 2 เท่าของการสื่อสารในครอบครัว (21%) โดยการสื่อสารจะช่วยเพิ่มความไว้เนื้อเชื่อใจ ลดการเข้าใจผิด และสามารถอภิปรายความขัดแย้งได้อย่างรวดเร็วทันทีที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังช่วยเปิดโอกาสให้ข้อมูลข่าวสารสำคัญผ่านเข้ามาและเกิดความเข้าใจกัน รวมถึงเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งอีกด้วย

[caption id="attachment_105907" align="aligncenter" width="503"] CSR มีความสำคัญต่อครอบครัวมากกว่าในรายงานที่บอกว่าช่วยลดความขัดแย้ง CSR มีความสำคัญต่อครอบครัวมากกว่าในรายงานที่บอกว่าช่วยลดความขัดแย้ง[/caption]

2.การพัฒนาให้เกิดความผูกพันทางอารมณ์ (emotional attachment) โดยใช้ความรับผิดชอบต่อสังคม (corporate social responsibility :CSR) สำหรับในธุรกิจครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทัศนคติต่อการทำกิจกรรมเพื่อสังคมมีความสัมพันธ์ในทางตรงกันข้ามกับการเกิดความขัดแย้ง โดยพบว่า CSR มีความสำคัญต่อครอบครัวมากกว่าในรายงานที่บอกว่าช่วยลดความขัดแย้ง ดังภาพที่ 3 แสดงให้เห็นว่าเมื่อครอบครัวมีค่านิยมในการทำกิจกรรม CSR มีความน่าจะเป็นอย่างมากที่จะมีความขัดแย้งต่ำ และเป้าหมายของการทำ CSR ที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวกระตือรือร้นที่จะให้ความสำคัญกับสุขภาพโดยรวมของครอบครัวและการลดระดับความขัดแย้งในครอบครัว โดยเป้าหมายเหล่านี้ช่วยสร้างมุมมองเกี่ยวกับการสืบทอดมรดกของครอบครัว ซึ่งส่งเสริมความรู้สึกความเป็นเอกภาพความเป็นหนึ่งเดียวกัน และความภาคภูมิใจและความผูกพันกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าความต้องการส่วนบุคคลของสมาชิกในครอบครัว

นอกจากนี้ยังมีแนวทางอื่นที่สามารถช่วยลดความขัดแย้งที่ไม่สร้างสรรค์ในธุรกิจครอบครัวได้เช่นกัน ได้แก่

3.การตั้งความคาดหวัง หากมีข้อตกลงหรือการตั้งความคาดหวังไว้ล่วงหน้า โอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งจะลดลงอย่างมาก ความคาดหวังอาจครอบคลุมทั้งประเด็นใหญ่และเล็ก เช่น การทำงานในธุรกิจ เกณฑ์ในการจ้างงาน จะตัดสินใจอย่างไร จะกำหนดเงินเดือนเท่าไร และใครจะเป็นหุ้นส่วน ซึ่งการพูดคุยในเรื่องเหล่านี้มักยากและใช้เวลานาน แต่ก็คุ้มค่าที่จะพยายาม เพราะเป็นเรื่องยากที่จะได้ข้อตกลงในประเด็นที่ยากเมื่ออยู่ท่ามกลางอารมณ์ความขัดแย้ง ดังนั้นการแก้ไขก่อนที่จะเกิดความขัดแย้งขึ้นจึงเป็นแนวทางการปฏิบัติที่ดี

4.การสร้างจิตสำนึกในเป้าหมายและพันธกิจ การมีเป้าหมายและพันธกิจร่วมกันของสมาชิกในครอบครัว

พบว่า จะกระตุ้นความสนใจและช่วยสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และยินดีที่จะเสียสละประโยชน์ในระยะสั้นเพื่อสุขภาพที่ดีของครอบครัวในระยะยาว ซึ่งหากมีเป้าหมายเหล่านี้มักเกิดขึ้นเมื่อมีการอภิปรายอย่างสร้างสรรค์และยาวนาน โดยสมาชิกในครอบครัวมักเลือกที่จะมองข้ามความแตกต่างและความต้องการเอาชนะในระหว่างการมีปฏิสัมพันธ์กันเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาวของครอบครัว ซึ่งสอดคล้องกับข้อค้นพบว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างความผูกพันกับ CSR และการลดความขัดแย้งอีกด้วย

5.สร้างกลไกที่เป็นทางการเพื่อการตระหนักและการแก้ไขความขัดแย้ง จากการศึกษาพบว่าบ่อยครั้งที่การมอบหมายความรับผิดชอบให้บุคคลหรือกลุ่มทำให้บรรลุเป้าหมายจะช่วยสร้างความสำเร็จเป็นอย่างมาก อาทิ การมอบหมายให้สมาชิกในครอบครัวแบ่งเป็นกลุ่มย่อยเพื่อระบุความขัดแย้งแบบทำลายล้างและสนับสนุนให้ฝ่ายต่างๆมองหาทรัพยากรจากภายนอกเพื่อนำช่วยแก้ไข โดยพบว่าการมีสภาครอบครัวจะสามารถทำหน้าที่นี้ได้ นอกจากนี้คณะกรรมการบริษัท และกรรมการจากภายนอก ยังสามารถช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งได้และสามารถวินิจฉัยความขัดแย้งในครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจได้อีกด้วย

ที่มา: EY Americas Family Business Services and Kennesaw State University. 2015 . Can embracing conflict spur positive change? : How the world’s largest family businesses resolve disagreement. Special report based on a global survey of the world’s largest family businesses. ey.com/conflict.

Photo : Pixabay
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,200 วันที่ 13 - 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559