ตลาดอี-คอมเมิร์ซเวียดนามนำหน้าในอาเซียน

09 ต.ค. 2559 | 12:00 น.
สำนักข่าวเวียดนามนิวส์รายงานว่า เวียดนามและอินโดนีเซีย มีสิทธิ์ครองตำแหน่งตลาดอี-คอมเมิร์ซประเภทบีทูซี ใหญ่สุดของอาเซียนภายใน 5 ปี

คำทำนายดังกล่าวเป็นไปตามการวิเคราะห์ของบริษัท ฟรอสต์แอนด์ซัลลิแวนฯ (Frost & Sullivan) ที่ทำการศึกษา ขนาดตลาดอี-คอมเมิร์ซทั่วโลกและพบว่าตลาดอี-คอมเมิร์ซในอาเซียน จะขยายหนึ่งเท่าตัวภายใน 5 ปีข้างหน้า

รายงานดังกล่าวคาดว่าตลาดอี-คอมเมิร์ซประเภทบีทูซี (B2C) ใน 6 ประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งประกอบด้วยประเทศอินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ จะมีอัตราขยายตัว 18 % ต่อปีทำให้ยอดรวมรายได้ขยายตัวจาก 11,200 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 392,000 ล้านบาท) ในปี 2558 เป็น 25,200 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 882,000 ล้านบาท) โดยไม่นับรวมรายได้ในหมวดโรงแรมและตั๋วเครื่องบิน

นายคริส ดุย ทรัน (Cris Duy Tran) หัวหน้าฝ่ายให้คำปรึกษาอี-คอมเมิร์ซและดิจิตอลทรานส์ฟอร์เมชันภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ของฟรอสต์ฯ กล่าวว่าตลาดอี-คอมเมิร์ซของอาเซียนมีการขยายตัวในอัตราเร่งเนื่องจาก คนในภูมิภาคนี้ปรับตัวเข้าสู่ยุคฐานดิจิตอลได้เร็ว อีกทั้งยังมีกลุ่มผู้บริโภคที่มีอายุน้อยเป็นกลุ่มคนที่สนใจเทคโนโลยีและกำลังมีรายได้เพิ่มขึ้น
เวียดนามนิวส์ระบุว่า ประชาชนอินโดนีเซีย เป็นเจ้าของซิมโทรศัพท์มือถือ 326 ซิม และมี 88 ล้านคนที่ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นประจำ ขณะที่คนเวียดนามเป็นเจ้าของโทรศัพท์เคลื่อนที่ 127 ล้านเครื่อง และมี 40 ล้านคนใช้อินเตอร์เน็ตเป็นประจำ

นายทรันกล่าวว่า บริษัทที่เป็นเจ้าของตลาดอี-คอมเมิร์ซประเภทบุคคลต่อบุคคล (peer-to-peer) อย่างเช่น Carousell ของสิงคโปร์ หรือ Tokopedia ของอินโดนีเซีย เน้นยุทธศาสตร์การทำธุรกิจและบริการแบบเคลื่อนที่โดยเจาะเข้าสู่ตลาดเฉพาะเจาะจงอาทิเช่นธุรกิจเกี่ยวกับการเดินทาง ฟู้ดดีลิเวอรี และสินค้าฟุ่มเฟือย

นายทรันให้สัมภาษณ์เวียดนามนิวส์ว่า “ผู้ให้บริการอี-คอมเมิร์ซ เริ่มขยายการแข่งขันจากเรื่องการแข่งราคาและส่งมอบสินค้าไปสู่ระบบออนไลน์ไปออฟไลน์ (O2O) และกิจกรรมมัดใจลูกค้า”

เวียดนามนิวส์ระบุว่า ตลาดอี-คอมเมิร์ซ ในอาเซียนแม้ขยายตัวเร็วแต่ก็ยังมีอุปสรรคสำหรับผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซหลายเรื่องทำให้การทำธุรกิจอี-คอมเมิร์ซยังทำกำไรได้น้อย ต้องมีการควบรวมกิจการหรือหยุดไปหลายกิจการในปี 2558 อาทิบริษัทฟู้ดแพนด้าฯที่ถอนตัวจากเวียดนามหรือ กรุ๊ปปอน (Groupon) ที่ต้องถอนตัวจากตลาดประเทศไทยและฟิลิปปินส์

ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในอาเซียน มี 2 เรื่องใหญ่คือ ความซับซ้อนของภูมิภาค การเป็นเจ้าของบัตรเครดิตในอัตราต่ำโดยเฉลี่ยแล้วหากไม่นับสิงคโปร์และมาเลเซีย คนในอาเซียนที่เป็นเจ้าของบัตรเครดิตเฉลี่ยมีไม่ถึง 7 % โดยในเวียดนามมีอัตราเฉลี่ยเพียง 1.9 % ในปีพ.ศ. 2557 และในบางประเทศมีประชากรไม่ถึงครึ่งของประเทศที่มีบัญชีธนาคาร

นายอีวอนน์ ลิม (Yvonne Lim) ผู้อำนวยการของบริษัท สิงค์โพสต์อีคอมเมิร์ซฯ ฝ่ายเอนเตอร์ไพรซ์โซลูชัน กล่าวว่า การจ่ายเงินข้ามพรมแดนยังเป็นปัญหาใหญ่สำหรับบริษัทอี-คอมเมิร์ซในภูมิภาคนี้ แต่ปัญหานี้เริ่มได้รับการแก้ไขจาก การขยายระบบบริการจ่ายเงินของอิเล็กทรอนิกส์ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เข้ามาในอาเซียนอย่างเช่น อาลีเพย์ แอปเปิลเพย์ และ Stripe

นายทรัน กล่าวเสริมว่า ส่วนหนึ่งที่ทำให้อี-คอมเมิร์ซในอาเซียน ขยายตัวได้ดีเกิดจากการขยายตัวของอี-คอมเมิร์ซของจีน “การเข้าสู่ยุคอี-คอมเมิร์ซของประเทศจีน ทำให้อาเซียนเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกันแม้ว่า ว่าอี-คอมเมิร์ซในอาเซียนในปัจจุบันจะมีสัดส่วนเพียง 2.5 % ของตลาดค้าปลีกรวม โดยคาดว่าในอนาคตอันใกล้ตลาดนี้จะมีการเคลื่อนไหวที่คึกคักโดยจะมีการควบรวมกิจการกันมากขึ้น”

Photo : Pixabay
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,198 วันที่ 6 - 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559