‘เอ็มโอยู’ไทย-จีน ปฐมบทหลุดพ้นกับดักทัวร์ศูนย์เหรียญ

28 กันยายน 2559
การล้างบางครั้งใหญ่ปราบทัวร์ศูนย์เหรียญอย่างจริงจังและต่อเนื่องของ รัฐบาล"บิ๊กตู่"โดยยึดหลักการยอม"เจ็บ"ไม่ยอม "ง้อ" แม้จะต้องแลกกับจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ที่คาดว่าเบื้องต้นอาจจะหายไปราว 4 พันล้านบาทจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่หายไปราว 2 แสนคน แต่รัฐบาลก็ยังย้ำจุดยืนชัดว่าต้องการยกระดับมาตรฐานท่องเที่ยวสู่ตลาดที่มีคุณภาพ และยั่งยืน ไม่เป็นการผูกขาดแต่ผู้ประกอบการรายใหญ่และรัฐต้องจัดเก็บภาษีได้อย่างเต็มหมดเต็มหน่วย

[caption id="attachment_101497" align="aligncenter" width="700"] การเติบโตของนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาเที่ยวเมืองไทยในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาเที่ยวเมืองไทยในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา[/caption]

จีนก็ขึ้นแบล็กลิสต์ไกด์-ทัวร์

กระทั่งเป็นที่มาล่าสุด (21ก.ย.59) จึงได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มยูโอ) ระหว่าง นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กับนายหวัง เสี่ยวเฟิง รองประธานสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติจีน(China National Administration : CNTA) เพื่อร่วมมือกันในทุกมิติ เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยวคุณภาพจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาเป็นกลไกในการดูแลการท่องเที่ยวของทั้ง 2 ประเทศ เน้นความปลอดภัยและเป็นธรรม ในการดำเนินธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ได้มีการประกาศใช้ราคากลางขั้นต่ำ เพื่อเป็นกลไกในการผลักดันสู่ตลาดทัวร์คุณภาพ

รมว.การท่องเที่ยวฯกล่าวว่า ที่มาของเอ็มโอยู เกิดจาก ซีเอ็นทีเอ ได้เริ่มทำเรื่องการแก้ปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญในประเทศจีนเอง สิ่งที่เขาทำช่วยลดปัญหาการร้องเรียนของนักท่องเที่ยวลงไปถึง 12% และจีนก็มีการแบล็กลิสต์ไกด์และบริษัททัวร์ที่ดำเนินธุรกิจไม่ถูกต้องในฝั่งเขาด้วย รวมถึงยังตั้งหน่วยงานพัฒนาท่องเที่ยวขึ้นมาใน 18 มณฑล เพื่อเทคแอกชันอย่างจริงจัง ดังนั้นสิ่งที่ไทยกำลังปราบปรามบริษัททัวร์ที่ผิดกฎหมายและแก้ปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ ซีเอ็นทีเอ จึงเห็นด้วยที่ไทยช่วยดูแลนักท่องเที่ยวจีน และทำให้เกิดการเติบโตที่เป็นระบบอย่างยั่งยืน

เคาะราคากลางขั้นต่ำ 1พันบาท

ทั้งนี้กลไกหนึ่งที่รัฐบาลไทยใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญคือการกำหนดราคากลางขั้นต่ำ เพื่อให้ผู้ประกอบการใช้เป็นราคาอ้างอิงในการนำเสนอขายแพ็กเกจทัวร์ "ราคากลางขั้นต่ำ 1,000 บาทต่อคนต่อวัน เป็นการหารือกันอย่างเร่งด่วนกับภาคเอกชน เพื่อบรรเทาความกังวลของผู้ประกอบการที่ต้องการทำการตลาดอย่างถูกต้อง ในช่วงนี้ ระหว่างที่รอกฎหมายกำหนดราคากลางขั้นต่ำที่มีผลบังคับใช้ช่วงปลายปีนี้" รมว.การท่องเที่ยวฯกล่าว

อย่างไรก็ดี ราคากลางขั้นต่ำที่ร่วมหารือกับภาคเอกชน ที่เคาะออกมาเป็นยังแบ่งออกเป็น 2 สเต็ปกล่าวคือ ต้องเป็นราคาทัวร์ไม่ต้องไม่ต่ำกว่าต้นทุนและต้องเป็นราคากลางขั้นต่ำสุด 1,000 บาทต่อวัน ซึ่งจะแบ่งเป็นค่าโรงแรม 500 บาทต่อคืนพัก 2 คน ค่าอาหาร 2 มื้อ 160 บาท ค่าประกันภัย 25 บาท ค่ารถเช่าเฉลี่ย 200 บาท ค่ามัคคุเทศก์ 100 บาท และแวต ซึ่งราคาดังกล่าวไม่รวมค่าเข้าชมแหล่งท่องเที่ยวหรือกิจกรรมอื่น ๆ และไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน

"ทีซีทีเอ"ชี้ต้องยกคุณภาพทั้งระบบ

ราคาดังกล่าวรับได้ไหม ? เรื่องนี้ "ชนะพันธ์ แก้วกล้าไชยวุฒิ" อุปนายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย-จีน (ทีซีทีเอ) กล่าวว่า เป็นราคาที่ยอมรับได้ และผู้ประกอบการยินดีรับไปปฏิบัติเพราะเป็นราคาที่ทั้งผู้ประกอบการในกลุ่มภาคเหนือ ภาคใต้ ต่างเห็นชอบ เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร หรือ ห้องพักที่บริษัทนำเที่ยวต้องจ่ายกับผู้ประกอบการนั้นจะได้ราคาดีหรือไม่อยู่ที่ ปริมาณการนำนักท่องเที่ยวไปใช้บริการด้วย

แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการต่างเป็นกังวล คือ เมื่อภาคเอกชนให้ความร่วมมือ ภาครัฐจะมีมาตรการอย่างไรในการตรวจสอบ ผู้ที่ไม่กระทำความกฎหมาย หรือมีการวางมาตรการในการตรวจสอบกันอย่างไร อีกทั้งเมื่อขายทัวร์ที่มีคุณภาพแล้ว บริการที่ต่อเนื่องจะมีการปรับปรุงคุณภาพตามมาหรือไม่เช่น รถเช่า โรงแรม มัคคุเทศก์ สถานที่ท่องเที่ยวต้องยกระดับปรับมาตรฐานตามมาด้วยเช่นกันมิเช่นนักท่องเที่ยวก็จะเกิดคำถามว่า ราคาแพงขึ้นแต่บริการไม่ได้เพิ่มขึ้น

"นอกจากนี้ยังรวมถึงปัญหาการดูแลนักท่องเที่ยวด้านความปลอดภัย ซึ่งที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวเมืองไทยแล้วเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตถึง 90 ราย เมื่อปีที่แล้วและปีนี้ครึ่งปีก็เสียชีวิต 90 ราย สิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการแก้ไขด้วย"

ย้ำใช้โรงแรมถูกก.ม.

เพื่อความกระจ่างของเรื่องนี้ "วรรณสิริ โมรากุล" อธิบดีกรมการท่องเที่ยว กล่าวเสริมว่า ในวันที่ 29 กันยายนนี้ ทางพล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีจะเรียกประชุมสมาคมท่องเที่ยวต่าง ๆเพื่อแจ้งเรื่องการให้บริษัททัวร์ที่ทำตลาดจีนของไทย ต้องขายแพ็คเกจทัวร์ไม่ต่ำกว่า 1,000 บาทต่อวัน ซึ่งเป็นไปตามพ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ.2551 ที่กำหนดไว้ว่าห้ามทำทัวร์ราคาต่ำกว่าทุน

ส่วนในวันที่ 30 กันยายนนี้ ทางปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯจะออกประกาศคณะกรรมการทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เพื่อกำหนดให้บริษัทนำเที่ยวตลาดจีน ต้องขายในราคาดังกล่าว และกำหนดให้ใช้โรงแรมที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้นหากใครไม่ดำเนินการก็จะถือว่าผิดกฎหมาย ซึ่งจะใช้กรอบราคานี้ไปก่อนระหว่างรอพ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับใหม่) พ.ศ.2559 น่าที่จะดำเนินการแล้วเสร็จในช่วงปลายปี จากนั้นภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง จะมาร่วมหารือกำหนดราคาทัวร์ขั้นต่ำ ตามที่กม.ฉบับใหม่ ระบุไว้ว่าบริษัทนำเที่ยวขายทัวร์ เป็นไปตามราคาทัวร์ขั้นต่ำตามที่คณะกรรมการทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์กำหนดไว้

 "แอตต้า"ยันทัวร์จีนได้ประโยชน์

ในฟากของ "เจริญ วังอนานนท์" นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ยอมรับว่าการที่รัฐใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดคาดจะทำให้นักท่องเที่ยวจีนหายไปราว 2 แสนคน ถึงสิ้นปี แต่ไม่มีผลอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากปีนี้ ประเมินว่านักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางมาเยือนไทย 10 ล้านคน แต่หลังจากผ่านไตรมาส 3 แล้วแอตต้าประเมินว่าจะมีจำนวนถึง 11.5 ล้านคน ซึ่งสูงเกินเป้าตัวเลขที่หายไปจึงไม่กระทบ

"เรื่องนี้จะมีผลดีในระยะยาว รูปแบบการค้าจะเข้าสู่ระบบที่มีมาตรฐาน และเชื่อว่าภายในเดือนตุลาคมนี้ทัวร์ศูนย์เหรียญต้องไม่มี แอตต้า ต้องร่วมมือ เป็นเรื่องของความเข้าใจ สื่อสารให้คนจีนเข้าใจว่าทำเพื่อประโยชน์ของนักท่องเที่ยวจีนโดยตรง เพื่อที่เขาเข้ามาแล้วจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี และเกิดการกระจายนักท่องเที่ยวไปสู่ผู้ประกอบการรายย่อย และชุมชนที่จะได้รับประโยชน์ตามมา"

ททท.พาทัวร์บินปักกิ่งสื่อสารคู่ค้า

ทางด้านการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) หลังจากเซ็น "เอ็มโอยู"ระหว่าง 2 ประเทศ ททท.ได้หารือกับกระทรวงการท่องเที่ยวฯ และรองนายกที่กำกับดูแลด้านการท่องเที่ยว พล.อ. ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร และสมาคมทีซีทีเอ คัดเลือกบริษัทนำเที่ยวรายใหญ่ราว 10 ราย เดินทางไปกรุงปักกิ่ง ในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ เพื่อสื่อสารสร้างความเข้าใจกับผู้ประกอบการในจีน และซีเอ็นทีเอ อีกครั้ง ถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องจัดระเบียบทัวร์ศูนย์เหรียญ เพื่อยกระดับมาตรการท่องเที่ยวสู่ตลาดที่มีคุณภาพ
ปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญได้ปักรากฝั่งลึกต่อการท่องเที่ยวไทยมานาน การจัดระเบียบครั้งนี้ ทุกฝ่ายจึงปวารณาว่า "รัฐจึงต้องหนักแน่น อย่าเป็นไฟไหม้ฟาง" เหมือนที่ผ่านมา

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,195 วันที่ 25 - 28 กันยายน พ.ศ. 2559