เฟดยังหลอนจัดพอร์ตรับมือ‘หุ้น’รอปรับฐาน/‘ทองคำ’เก็งกำไรสิ้นปี23,000 บาท

27 ก.ย. 2559 | 05:00 น.
ส่องตลาดหุ้นทองคำหลงัเฟดคงดอกเบี้ยรอบกันยายนผู้เชี่ยวชาญนักลงทุนสถาบัน พร้อมใจฟันธงการดำเนินนโยบายของเฟดยังเป็นปัจจัยลบสำคัญกดดันทุกตลาด เชื่อมีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งในปีนี้ แนะนำจัดพอร์ตลงทุน หุ้นไทยรอจังหวะช่วงผันผวนเหตุปัจจัยพื้นฐานยังดี ทองคำยังเป็นขาขึ้น เตือนระหว่างทางอาจแกว่งแรง เหมาะเก็งกำไร หลีกเลี่ยงหุ้นยุโรป

[caption id="attachment_101093" align="aligncenter" width="700"] คำแนะนำจัดพอร์ตลงทุน (รับเสี่ยงได้ปานกลาง) คำแนะนำจัดพอร์ตลงทุน (รับเสี่ยงได้ปานกลาง)[/caption]

นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวให้ความเห็นกับ “ฐานเศรษฐกิจ” หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม โดยมองว่า การคงอัตราดอกเบี้ยของเฟดเป็นปัจจัยบวก แต่การประชุมครั้งนี้ถือว่ามีมติไม่เป็นเอกฉันท์ เพราะมีคณะกรรมการ 3 คน ที่เห็นว่าควรมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งแม้ว่าจะสามารถลดโทนของการขึ้นดอกเบี้ยไปได้ แต่ความเห็นของคณะกรรมการได้ระบุอย่างชัดเจนว่าภายในปีนี้จะต้องมีการขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้ง เพราะฉะนั้นความกังวลจึงยังไม่หายไป

ขณะที่ประเด็นเรื่องการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯเอง ก็ถือว่าเป็นปัจจัยที่ต้องจับตา เพราะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้สมัครท่านใดจะได้รับตำแหน่ง หากเป็น โดนัลด์ ทรัมป์ ตลาดก็จะมีความกังวลเรื่องของการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้น
ส่วนสหภาพยุโรป (อียู) ยังมีความเปราะบางจากทั้งทางด้านการเงิน และเรื่องของเศรษฐกิจ เพราะประเทศที่เคยมีปัญหาอาจจะกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง ขณะที่ประเทศจีนเองก็มีประเด็นกรณีในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ เงินหยวนจะเข้าสู่ตะกร้าเงินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) โดยอาจจะมีผลทำให้ค่าเงินหยวนเกิดความผันผวน และส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทยได้

นายกวี กล่าวต่ออีกว่า ปัจจัยในประเทศเวลานี้ถือว่าค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่หากจะให้จับตาก็คงจะเป็นเรื่องการประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ซึ่งหากไม่ทันภายในปีนี้ก็จะเป็นการล่าช้า ขณะที่ในช่วงปลายปีกระทรวงการคลังก็จะมีนโยบายในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ซึ่งจะส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศกลับคืนมา หุ้นที่จะได้รับอานิสงส์ คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ทั้งนี้ปัจจุบันรัฐบาลอยู่ในสถานะที่สามารถใช้เงินได้มาก เนื่องจากเศรษฐกิจดี

สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยจนถึงสิ้นปีนี้ บล.กสิกรไทย มองว่าน่าจะอยู่ที่ระดับ 1,450 จุด โดยมีกรอบล่างอยู่ที่ประมาณ 1,420-1,450 จุด ส่วนกรอบบนอยู่ที่ประมาณ 1,500-1,520 จุด ส่วนคำแนะนำในการจัดพอร์ตการลงทุน หากเป็นนักลงทุนระยะยาวช่วงเวลานี้จนถึงต้นปี 2560 ยังสามารถลงทุนได้ เพราะหุ้นยังดีอยู่ สำหรับนักลงทุนระยะสั้นประเภทเก็งกำไรหากสามารยอมรับความเสี่ยงได้ก็ให้ลงทุนตามกรอบที่ระบุไว้ข้างต้น

ด้านนายชยนนท์ รักกาญจนันท์ กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) อินฟินิติ จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยลบที่ต้องจับตา คือ การขึ้นดอกเบี้ยที่ช้าเกินไป อาจทำให้เกิดฟองสบู่ในสินทรัพย์เสี่ยง อีกทั้งการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอาจมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง จะกระทบกับภาคการส่งออกของไทย จากกรณีที่ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ดังนั้นจึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด (ดูตารางประกอบคำแนะนำจัดพอร์ตลงทุน)

นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า การคงอัตราดอกเบี้ยของเฟดถือว่าเป็นไปตามที่ได้มีการคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่ต้น เพื่อรอดูตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพีในไตรมาส 3/59 โดยเชื่อว่าหากจะมีการปรับดอกเบี้ยน่าจะเป็นช่วงของการประชุมเดือนธันวาคมมากกว่า อย่างไรก็ตามจากนี้ไปจนถึงช่วงเวลาดังกล่าวตลาดอาจจะมีความผันผวนบ้าง ซึ่งก็ถือว่าเป็นโอกาสในการเข้าไปลงทุนโดยเฉพาะหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีถือว่ายังน่าสนใจ

ด้านปัจจัยลบโดยภาพรวมที่มีมากที่สุดยังคงเป็นเรื่องการปรับนโยบายดอกเบี้ยของเฟด แต่เชื่อว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นการปรับแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งการปรับในแต่ละครั้งอาจจะมีการเทขายออกมาเพื่อทำกำไรบ้าง แต่ก็เป็นเพียงแค่ในระยะสั้นเท่านั้น โดยตลาดหุ้นไทยในช่วงก่อนหน้านี้มีการปรับตัวลงมา แต่หากย้อนกลับไปดูจะเห็นว่าตั้งแต่ต้นปีเป็นการปรับขึ้นมาโดยตลอด การปรับฐานลง กว่า 100 จุดถือว่าเป็นโอกาสในการลงทุนเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานยังดี ตัวเลขเศรษฐกิจเองก็น่าจะผ่านจุดที่ต่ำสุดไปแล้ว ด้านการเมืองก็มีความชัดเจนหลังจากที่มีการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ

ขณะที่โครงการลงทุนภาครัฐก็ทยอยเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้นจำนวนมากเมื่อผสมผสานกับดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับต่ำ ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีในการลงทุน โดยเท่าที่สอบถามลูกค้ารายใหญ่ของ บลจ.ทิสโก้ ระบุว่าเวลานี้ยังมีเงินอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก หากตลาดปรับตัวลดลงก็มีนักลงทุนที่พร้อมจะเข้าซื้อ
บลจ.ทิสโก้ แนะนำการจัดพอร์ตลงทุนสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง ดังนี้ ลงทุนในตราสารหนี้ 50% แม้ว่าผลตอบแทนจะอยู่ที่ 1-2% ต่อปี แต่ก็ถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ส่วนอีก 50% ให้ลงทุนในหุ้น โดยแบ่ง 25% ลงทุนในตลาดหุ้นไทย รอจังหวะหุ้นปรับฐาน หรือตลาดมีความผันผวนในการเข้าไปลงทุนเพิ่มเติม ส่วนอีก 25% ให้ลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียอย่างจีน อินเดีย และญี่ปุ่น ซึ่งยังน่าสนใจลงทุน ส่วนการลงทุนในสหรัฐฯก็สามารถทำได้ แต่ความคาดหวังในเรื่องของผลตอบแทนอาจจะไม่สูงมากนัก ด้านยุโรปยังไม่แนะนำให้ลงทุน

ทางด้าน นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก กล่าวว่าแนวโน้มราคาทองคำหลังจากนี้ยังมองว่าเป็นขาขึ้นอยู่ อาจปรับตัวลงมาบ้างแต่ไม่มาก โดยเชื่อว่าราคาทองคำสิ้นปีนี้ น่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 22,600 บาทต่อบาททองคำ โดยมีแนวรับอยู่ที่ประมาณ 21,500 บาทต่อบาททองคำ และมีแนวต้านที่ 23,000 บาท อย่างไรก็ตามหากในปีนี้เฟดไม่ขึ้นดอกเบี้ยราคาทองคำก็จะขึ้นยาว

กลยุทธ์การลงทุนในทองคำสำหรับระยะนี้ไปจนถึงปลายปี2559 มองว่าเป็นแนวโน้มของการทำกำไร โดยเข้าลงทุนเร็วและออกเร็วเหมาะสำหรับนักลงทุนระยะสั้น และระยะยาว โดยนักลงทุนระยะสั้นจะมีความได้เปรียบ เพราะราคาทองมีความผันผวนทั้งขาขึ้นและขาลง แต่จะลงไม่มาก ซึ่งหากเป็นนักลงทุนระยะยาวอาจจะเสียเปรียบในการรอเวลา เพราะเมื่อถึงเวลาราคาทองอาจปรับตัวลงไปอยู่ที่เดิมทำให้ขายทำกำไรไม่ได้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,195 วันที่ 25 - 28 กันยายน พ.ศ. 2559