‘เมกอัพ’ชิง1.2แสนล้าน แบรนด์ไทย-เทศจัดหนักไซซิ่ง-ราคา-โปรโมชันดันยอดQ4

27 ก.ย. 2559 | 09:30 น.
เอกซเรย์ตลาดเมกอัพไทยเดือด แบรนด์ไทย-เทศ ปรับกลยุทธ์สร้างจุดขายชิงเค้กกว่า1.2 แสนล้านบาท “คาร์มาร์ท” เปิดเกมชูกลยุทธ์ไซซิ่ง-หั่นราคา กระทุ้งยอดโค้งท้ายฟาก “ดร.แกลม” จัดหนักมาร์เก็ตติ้งชุดใหญ่ดัน 4 แบรนด์ แย้มจ่อนำเข้าผลิตภัณฑ์สกินแคร์ใหม่จากเกาหลีและผลิตภัณฑ์ทำสีผมจากอิตาลี “LISAP” รุกตลาดเพิ่ม ขณะที่ “เมย์เบลลีน” ซุ่มเป็นสปอนเซอร์เดอะ เฟซ ไทยแลนด์ หลังกระแสตอบรับดีเว่อร์

นายพงศ์วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด และสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องสำอาง อาทิ แบรนด์คาร์มาร์ท (Karmart) ,เคที่ ดอลล์ (Cathy Doll) ฯลฯ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า เพื่อเป็นการรองรับตลาดเครื่องสำอางเมืองไทยที่มีการแข่งขันสูงและมีจำนวนผู้ประกอบการหน้าใหม่เข้ามาทำตลาดเป็นจำนวนมาก บริษัทได้หันมาใช้รูปแบบทางการตลาดทั้งการเปิดตัวสินค้าใหม่ที่เน้นความหลากหลาย ควบคู่กับการนำกลยุทธ์ในเรื่องของไซซิ่ง และราคาที่ถูกกว่าเข้ามาใช้ในการกระตุ้นยอดขาย ขณะเดียวกันรูปแบบการทำตลาดจะให้ความสำคัญกับการใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียในการสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมายเพิ่มมากกขึ้น เนื่องจากมองว่าเป็นช่องทางที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็ว

"ต้องยอมรับว่าจากสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ชะลอตัวส่งผลต่อยอดจับจ่ายของผู้บริโภคให้ลดลงบ้างเล็กน้อย ทำให้บริษัทหันมาใช้กลยุทธ์ในเรื่องของขนาดสินค้าที่หลากหลายตั้งแต่ไซซ์เล็ก กลางใหญ่ ควบคู่กับเรื่องของราคาที่ถูกกว่าแบรนด์อื่นในตลาด อย่างแบรนด์ เคที่ ดอลล์ จะมีราคาถูกกว่าแบรนด์ของสินค้าในกลุ่มเดียวกันราว 30-50% เข้ามากระตุ้นยอดขายและความสนใจของผู้บริโภค"

โดยในไตรมาสสุดท้ายนี้ยังมีแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ที่กำลังมาแรง พร้อมกับมีโปรโมชัน และแคมเปญทางการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายในโค้งท้าย โดยตั้งเป้าหมายยอดขายในปีนี้เติบโต 30% หลังจากที่ใน 3 ไตรมาสที่ผ่านมาบริษัทสามารถสร้างยอดขายได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้

ด้านนายอายุวัต จงเจริญชัยกุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดร.แกลม จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม อาทิ แปรงแต่งหน้า อีโคทูลส์, เรียล เทคนิค, บีชิค และอินฟินิตี้ เป็นต้น กล่าวว่า จากแนวโน้มการเติบโตของตลาดเครื่องสำอางในเมืองไทยซึ่งมีมูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท พบว่าโดยภาพรวมมีการเติบโตทรงตัว แต่เชื่อว่ายังมีโอกาสที่จะเติบโตตามเทรนด์ตลาด ส่งผลให้บริษัทปรับกลยุทธ์เพื่อกระตุ้นการเติบโตด้วยการปรับลดราคาสินค้าในกลุ่มแปรงแต่งหน้า 5-10% โดยเฉพาะในแบรนด์เรียล เทคนิก พร้อมกันนี้ยังมีการจัดโปรโมชันและจำหน่ายในรูปแบบเซ็ต ทำให้มีราคาถูกกว่าซื้อทีละชิ้นราว 30%

พร้อมกันนี้ยังเตรียมเปิดตัวเครื่องสำอางนำแบรนด์ใหม่นำเข้าจากประเทศเกาหลีในกลุ่มคอสเมติก,สกินแคร์ และกลุ่มคัลเลอร์ เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยช่วงปลายปี ซึ่งมีระดับราคาไม่เกิน 100 บาท วางจำหน่ายในช่องทางโมเดิร์นเทรดทั่วไป ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพาร์ตเนอร์ พร้อมกันนี้ยังมีแผนในการเปิดตัวสินค้าใหม่ในกลุ่มแปรงแต่งหน้า 4 รายการ เพื่อรุกตลาดในช่วงไตรมาส 4 นี้อีกด้วย และขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าแบรนด์เรียล เทคนิก เข้าไปจำหน่ายในช่องทางโมเดิร์นเทรดเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็น วัตสัน,บิวตี้สโตร์ และคิงพาวเวอร์ทั้ง 2 แห่งได้แก่ สาขารางน้ำ และศรีวารี

"หลายคนอาจมองว่าเทรนด์เครื่องสำอางจากเกาหลีถึงจุดอิ่มตัว และได้รับความนิยมลดน้อยลง แต่ความจริงแล้วในตลาดกลุ่มเครื่องสำอางจากเกาหลียังคงได้รับความนิยมและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากอัตราการเติบโตในตลาดที่ยังมีอยู่ กอปรกับยังมีเครื่องสำอางจากประเทศเกาหลีเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยในหลายแบรนด์และหลายกลุ่มสินค้าตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมา"

ขณะที่การทำตลาดของแต่ละแบรนด์จะให้ความสำคัญของโพสิชันนิง ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์อีโคทูลส์ ได้เตรียมเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ เพื่อรุกตลาดอย่างเต็มตัวอีกครั้ง ในโอกาสครบรอบ 10 ปีโดยจะเน้นภาพลักษณ์ที่ทันสมัย แต่ยังคงคอนเซ็ปต์รักษ์โลก เช่นเดียวกับแบรนด์เรียล เทคนิก และในปีหน้าจะนำเข้าแบรนด์ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแฮร์แคร์จากเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ในชื่อแบรนด์ "Lisap" เข้ามาเสริมพอร์ตสินค้าในเครือของบริษัทจากเดิมที่บริษัทมีแบรนด์เกี่ยวกับสีผมอย่าง "ซันเดย์" ทำตลาดอยู่แล้ว

สำหรับในส่วนของตลาดต่างประเทศบริษัทมีแผนงานขยายตลาดไปยังภูมิภาคอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น เมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม ในช่วงปลายปีนี้ หลังจากที่เข้าไปทำตลาดในประเทศเมียนมาเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา

ขณะที่แผนงานในปีหน้าของตลาดในภูมิภาคอาเซียนนั้นบริษัทได้เตรียมใช้งบประมาณราว 30% พร้อมกับการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในการรุกตลาด อย่างไรก็ตามปัจจุบันบริษัทวางเป้าหมายรายได้ในสิ้นปีไว้ที่ 150 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 25% จากปีที่ผ่านมา แบ่งเป็นยอดขายที่มาจากแบรนด์เรียล เทคนิก 30% อีโคทูลส์ 15% ชิค และอินฟินิตี้ 18-19% ผลิตภัณฑ์สีผมซันเดย์ 12% และจากการรับจ้างผลิต (OEM) 25% โดยปีหน้าวางเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 200 ล้านบาท และตั้งเป้าสร้างการเติบโตในภูมิภาอาเซี่ยนเฉลี่ยปีละ 5-10%

นายเจฟ เบลลิ่งแฮม ผู้จัดการทั่วไป เมย์เบลลีน นิวยอร์ก (ประเทศไทย) กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทเป็นผู้สนับสนุนหลักและเอ็กซ์คลูซีฟเมกอัพรายการเรียลลิตีโชว์ เดอะ เฟซ ไทยแลนด์ มาตั้งแต่ซีซั่นแรกและซีซั่นที่สอง ทำให้ เมย์เบลลีน นิวยอร์ก ได้รับการตอบรับดีมากขึ้นทุกปีในตลาดแมสของกลุ่มเมคอัพเนื่องจากคีย์ซักเซสของกลยุทธ์สปอนเซอร์ชิปคือต้องตอบโจทย์ในการเข้าถึงตรงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจากกระแสของรายการที่บริษัทได้นำพรีเซนเตอร์มาร่วมเป็นเมนเทอร์รับเชิญเพื่อเชื่อมโยงเข้ากับแบรนด์และผลิตภัณฑ์ รวมถึงการนำผู้ชนะในรายการมาร่วมทำแคมเปญต่างๆของแบรนด์นั้น ทำให้ในปีนี้บริษัทตัดสินใจร่วมเป็นพันธมิตรอีกครั้งกับกันตนาเพื่อเป็นผู้สนับสนุนหลักรายการเดอะ เฟซ ไทยแลนด์ปีที่ 3 โดยยังคงเชื่อมั่นในกระแสที่มาแรงของรายการที่ที่จะช่วยในการขยายฐานลูกค้าและสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำ

ทั้งนี้สิ่งสำคัญในปีนี้ที่ต้องการต่อยอดในการเข้าถึงและใกล้ชิดผู้บริโภคให้มากขึ้นจากการสร้างการรับรู้ และการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคกับแบรนด์โดยวางแนวทางทั้งในรายการเดอะ เฟซและช่องทางการสื่อสารอื่นๆของแบรนด์ด้วยไอเดียหลักคือ New York Look Made Easy ซึ่งนำเสนอการแต่งหน้านิวยอร์กลุคง่ายๆเพียงไม่กี่ขั้นตอน แต่สามารถเป็นพลังสร้างความมั่นใจให้ผู้หญิงทำความฝันและเป้าหมายในชีวิตให้เป็นจริงได้ไม่ยาก

"สำหรับรายการเดอะ เฟซ นับเป็นแพลตฟอร์มหนึ่งในเฟสแรกของการสื่อสารกับผู้บริโภค ซึ่งจะนำไปสู่การเปิดแพลตฟอร์มใหม่ๆของแบรนด์ที่เป็นช่องทางให้ผู้บริโภคได้ติดตามต่อในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วย เพราะนอกจากจะเตรียมสื่อออนไลน์และโซเชียล มีเดียของเมย์เบลลีน นิวยอร์ก ทั้งเฟซบุ๊ก และเว็บไซต์ ก็ยังมีช่องทางใหม่อื่นๆที่จะสื่อสารไปยังผู้บริโภคเพื่อต่อยอดให้ครบวงจร พร้อมทั้งกิจกรรมร่วมสนุกและการเพิ่มช่องการขายโดยร่วมมือกับรีเทลออนไลน์หรือ E-tailer อย่าง LAZADA เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อได้ทันที จึงทำให้เราเชื่อมั่นว่าการสนับสนุนรายการเดอะ เฟซ ไทยแลนด์ปีที่ 3 นี้จะประสบความสำเร็จดังเช่นทุกปีที่ผ่านมา"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,195 วันที่ 25 - 28 กันยายน พ.ศ. 2559