ฟอร์ดย้ำแผนรุกรถยนต์ไร้คนขับ เตรียมย้ายผลิตรถเล็กนอกสหรัฐฯ

23 ก.ย. 2559 | 10:00 น.
ฟอร์ด เดินหน้าแผนการรุกธุรกิจรถยนต์สำหรับอนาคต พร้อมเผยเตรียมย้ายการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กทั้งหมดจากสหรัฐฯ ไปยังเม็กซิโกเพื่อลดต้นทุน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ฟอร์ด มอเตอร์ ประกาศปรับลดคาดการณ์กำไรประจำปีนี้ลงจาก 1.08 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เหลือ 1.02 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมกับประกาศแผนการขยายไลน์ผลิตรถยนต์ไร้คนขับและรถยนต์ไฟฟ้า ท่ามกลางการแข่งขันจากทั้งบริษัทเทคโนโลยีและบริษัทผลิตรถยนต์รายอื่นๆ

นายมาร์ค ฟิลด์ส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของฟอร์ด เน้นย้ำแผนการของฟอร์ดที่จะมองหาช่องทางเข้าไปรุกธุรกิจใหม่ๆ อย่างตลาดรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ "ในเวลาที่เรากำลังขยายบริษัทเพื่อเป็นทั้งบริษัทรถยนต์และบริษัทผู้ให้บริการรับส่งผู้โดยสาร เราไม่ได้เปลี่ยนจากธุรกิจ ‘เก่า’ ไปเป็นธุรกิจ ‘ใหม่’ เพียงแต่โลกกำลังเปลี่ยนจากการที่ผู้คนเป็นเจ้าของรถยนต์มาเป็นการแชร์รถยนต์ ด้วยเหตุนี้เราจึงขยายไปสู่การขายรถยนต์จำนวนมากขึ้น และให้บริการรับส่งในเวลาเดียวกัน"

นอกจากนี้ฟอร์ดยังเตรียมผลักดันการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก และจะลงทุนเป็นมูลค่าประมาณ 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับรถยนต์ใหม่ 13 รุ่นที่จะออกวางตลาดเป็นสัดส่วน 40% ของรถยนต์ที่ฟอร์ดจำหน่ายทั้งหมดภายในปี 2563

รถยนต์ไร้คนขับกำลังได้รับการยอมรับเพิ่มมากขึ้นในบางพื้นที่ของสหรัฐฯ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ อูเบอร์ได้ทดลองนำรถแท็กซี่ขับเคลื่อนอัตโนมัติออกมาทดลองวิ่งในเมืองพิตส์เบิร์ก แต่ยังใช้คนขับนั่งควบคุมรถยนต์ไปด้วย ทั้งนี้ ฟอร์ดคาดหมายว่ารถยนต์รุ่นที่สามารถขับเคลื่อนได้โดยอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบจะพร้อมออกวิ่งบนท้องถนนภายในปี 2564

นอกเหนือจากผู้ผลิตรถยนต์หลายบริษัทที่เปิดเผยแผนการรุกเข้าสู่ตลาดรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ อาทิ กูเกิล และแอปเปิล ยังส่งสัญญาณว่าจะกระโดดลงมาแข่งขันในตลาดแห่งนี้ด้วยเช่นเดียวกัน รวมถึงยังมีผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เทสล่า ที่ได้ผลิตรถยนต์ที่มีฟังก์ชันของการขับเคลื่อนด้วยตัวเองบางส่วนแล้ว

ขณะเดียวกัน ฟิลด์สกล่าวว่า ฟอร์ดจะย้ายฐานการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กทั้งหมดจากสหรัฐฯ ไปเม็กซิโกภายในระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นแผนการที่ทำให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกันออกมากล่าววิจารณ์อย่างหนัก

ฟอร์ดประกาศตั้งแต่เมื่อปีก่อนว่าจะยุติการผลิตรถยนต์ขนาดเล็ก 2 รุ่น คือ โฟกัส และซี-แม็กซ์ ในสหรัฐฯ ในปี 2561 แต่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อนว่าจะย้ายฐานการผลิตไปยังที่ใด ขณะเดียวกันเมื่อช่วงต้นปี ฟอร์ดเปิดเผยแผนการลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่เป็นมูลค่า 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เมืองซาน หลุยส์ โปโตซี ประเทศเม็กซิโก ซึ่งคาดว่าจะใช้เป็นฐานการผลิตรถยนต์ทั้ง 2 รุ่นดังกล่าว โดยฟอร์ดกล่าวว่าจะจ้างพนักงาน 2,800 คนที่โรงงานแห่งใหม่ภายในปี 2563

ทั้งนี้ การโยกย้ายฐานการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กออกจากสหรัฐฯ นอกเหนือจากเป็นการลดต้นทุนการผลิตแล้ว ส่วนหนึ่งยังมีปัจจัยมาจากการที่ชาวอเมริกันหันมาเลือกซื้อรถยนต์ขนาดใหญ่อย่างรถยนต์อเนกประสงค์ (เอสยูวี) และรถปิ๊กอัพมากขึ้นกว่ารถยนต์ขนาดเล็ก โดยสหภาพแรงงานผู้ผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ เชื่อว่า การย้ายฐานการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กจะไม่กระทบกับการจ้างงาน เนื่องจากแรงงานจะถูกโยกย้ายไปผลิตรถยนต์เอสยูวีและปิ๊กอัพแทน ซึ่งก่อนหน้านี้ฟอร์ดยืนยันว่าจะเริ่มต้นผลิตรถยนต์ 2 รุ่นใหม่ที่โรงงานในเมืองเวย์น รัฐมิชิแกน ในปี 2561

นับตั้งแต่ปี 2554 ฟอร์ดทุ่มเงินลงทุนในสหรัฐฯ ไปแล้ว 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และสร้างงาน 28,000 ตำแหน่ง อย่างไรก็ดี ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฟอร์ดและผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อื่นๆ ได้เพิ่มการลงทุนในเม็กซิโกมากขึ้น โดยนอกเหนือจากโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ ฟอร์ดยังทุ่มเงิน 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายไลน์การผลิตเครื่องยนต์ที่โรงงานในรัฐชิวาวา และอีก 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสร้างโรงงานผลิตระบบทรานส์มิสชันแห่งใหม่ที่รัฐกัวนาฮัวโตทางตอนใต้ของประเทศ

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,194 วันที่ 22 - 24 กันยายน พ.ศ. 2559