เลือกลงทุนในเวียดนามสิครับ

15 ส.ค. 2559 | 12:00 น.
การลงของไทยในต่างประเทศโดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV หรือ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาและเวียดนาม ถ้าให้ผมเลือกพิจารณาก็ต้องเลือกไปลงทุนในประเทศเวียดนามน่าจะเหมาะสมที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าและเพื่อการส่งออกไปต่างประเทศ ที่กล่าวเช่นนี้มีหลายเหตุผลสนับสนุน ซึ่งสำคัญที่สุดก็ตรงที่ความมีเสถียรภาพของรัฐบาล ความมั่นคงทางการเมือง ความสม่ำเสมอด้านนโยบายสนับสนุนการลงทุนของชาวต่างประเทศในเวียดนาม และไม่เคยมีประสบการณ์อันเลวร้ายระหว่างประเทศไทยกับประเทศเวียดนาม

ไทยกับเวียดนามยุคใหม่ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2519 หรือเมื่อ 40 ปีที่แล้ว เป็นการจับมือกันทางการทูต 2 ชาติแรกในอาเซียนด้านความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์เลยทีเดียว ซึ่งหมายถึงความสัมพันธ์ทางด้านการเมือง ความมั่นคง การเงิน เศรษฐกิจ การลงทุน วัฒนธรรม และการแลกเปลี่ยนระดับประชาชนกับประชาชน

เมื่อเดือนมิถุนายน 2557 นายเหงียนฟู้จ่อง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามเดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการ และเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการ และเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามโครงการปฏิบัติความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์เวียดนาม-ไทยในช่วงปี 2557-2561 ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีเวียดนาม-ไทยให้เข้มแข็งมากขึ้น ทั้งในด้านกว้างและส่วนลึก ในช่วง 40 ปีที่ผ่านไปมีการพัฒนาสู่ความแน่นแฟ้นต่อกันโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ และวางกลไกความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ มีทั้งการหารือในระดับสูง การแลกเปลี่ยนการเยือนระดับนายกรัฐมนตรี หน่วยราชการต่างๆ ก็มีความร่วมมือทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี ไม่ว่าจะเป็นกรอบลุ่มแม่น้ำโขง การเชื่อมโยงติดต่อคมนาคมระหว่างกัน ไม่ว่าจะเป็นทางบกและทางอากาศ ทางทะเล การเดินเรือเรียบชายฝั่ง ส่วนด้านความมั่นคงกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานความมั่นคงมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นผ่านการประชุมร่วมกันเป็นประจำทุกปี

ก่อนที่จะสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างกัน ไทยมีข้อจำกัดต่างๆ สำหรับชมรมชาวเวียดนามที่อาศัยในประเทศไทย แต่เมื่อปี 2541 ประธานประเทศเวียดนาม(ในขณะนั้น) นายเจิ่นตึ้กเลือง เดินทางมาเยือนไทย และโอกาสเดียวกันนายกรัฐมนตรีไทยได้อนุญาตให้คนไทยเชื้อสายเวียดนามในไทยถือสัญชาติไทยได้ ซึ่งปัจจุบันกว่าแสนคนแล้วที่กลายเป็นคนไทย ได้รับสิทธิและปฏิบัติหน้าที่ของพลเมืองไทยโดยสมบูรณ์ ทุกวันนี้มีสมาคมชาวเวียดนามในไทยราว 10 สมาคมและพร้อมจะให้ความร่วมมือกับนักลงทุนไทยในทุกๆ ด้าน

เวียดนามมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี มีการปรับปรุงด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างพรักพร้อม ประชากรราว 70 ล้านคน และไม่ใช่สังคมวัยชราอย่างประเทศไทยที่กำลังคืบคลานเข้าไปหา มีกำลังแรงงานที่นานมากพอที่จะรองรับระบบการผลิตไปอีกไปต่ำกว่า 20-30 ปี อีกทั้งเวียดนามเปิดกว้างด้านการลงทุนของต่างประเทศในเวียดนาม และมีสิทธิประโยชน์ต่างๆ จากการภาคีหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์สหรัฐอเมริกา และได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีอากรจากหลายประเทศรวมถึงกลุ่มสมาชิกสหภาพยุโรปด้วย

ล่าสุดนายกรัฐมนตรีเวียดนามได้อนุมัติแผนการพัฒนาการค้าอิเล็กทรอนิกส์ระยะปี 2559-2563 โดยตั้งเป้าไว้ว่าจนถึงปี 2563 จะสร้างเครือข่ายบริการขนส่งและจัดการคำสั่งซื้อสำหรับการค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ครอบคลุมทั่วประเทศให้เสร็จสมบูรณ์ สร้างกรอบทางนิตินัยควบคู่กับการปรับปรุงเอกสาร กฎหมายต่างๆ ให้ทันกับการพัฒนาของการค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่หลากหลาย จัดทำระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์แบบบูรณาการระดับประเทศเพื่อสามารถประยุกต์ใช้กับการค้าอิเล็กทรอนิกส์ในทุกรูปแบบเลยทีเดียว

ระยะ 10 ปีข้างหน้าหากเศรษฐกิจเวียดนามโตปีละ 7 % เท่ากับจะกลายเป็นเสือตัวใหม่ในภูมิภาค แต่หากโตเฉลี่ยปีละ 4 % เวียดนามก็จะเติบโตระดับปานกลางอย่างประเทศไทยหรือบราซิล ครับ

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,183 วันที่ 14 - 17 สิงหาคม พ.ศ. 2559