‘วี-คูล’ไม่หวั่นตลาดรถชะลอตัว ลุยพัฒนาเอาต์เล็ตเพิ่มไลน์สินค้า

30 ก.ค. 2559 | 07:30 น.
วี-คูล เดินหน้าพัฒนาเอาต์เล็ต ตั้งเป้าภายในไตรมาสแรก ปี 60 เปิด 15 แห่งทั่วกรุง พร้อมเพิ่มไลน์สินค้ารุ่นใหม่ เจาะกลุ่มเจน วาย วางขายปลายปีนี้ ตั้งเป้าปี 59 โต 5 – 7 %

นางสาวพิมพา ชลาลัย ประธานบริหาร บริษัท วี เค เอส กรุ๊ป (เอเซีย) จำกัด หรือ วี-คูล กรุ๊ป ไทยแลนด์ ( V-KOOL GROUP THAILAND) เปิดเผยว่า หลังจากปี 2558 ที่บริษัทฯได้รับสิทธิ์ในการดูแลฟิล์มกันร้อน วี-คูล ในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว และได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารรวมทั้งวางแผนเพื่อรุกตลาด โดยมีภารกิจที่เร่งด่วนคือ พัฒนาศูนย์ วี-คูล ฟูล เฟล็ต (V-KOOL Full Fledged Outlet)

“เดิมเรามีดีลเลอร์ 2 ภาค แต่พอมีการปรับเปลี่ยนก็ทำให้ดูแลเพิ่มอีก 2 ภาค ปัจจุบันมีดีลเลอร์ทั่วประเทศกว่า 71 ราย แบ่งออกเป็นกรุงเทพฯ 27 ราย และ ต่างจังหวัด 44 ราย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาก็มีการวางรากฐาน ปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ตามที่บริษัทฯแม่ได้วางแผนให้ รวมไปถึงการสร้างแบรนด์และทำงานร่วมกับดีลเลอร์ทุกราย”

ศูนย์ วี-คูล ฟูล เฟล็ต จะยกระดับการให้บริการทั้งด้านสินค้า และ บริการหลังการขาย ตามมาตรฐานของ วี-คูล โดยตั้งเป้าขยายในพื้นที่กรุงเทพฯก่อน คาดว่าภายในปี 2560 จะพัฒนาศูนย์ดังกล่าวได้ประมาณ 15 แห่ง ซึ่งแต่ละศูนย์ฯจะใช้งบลงทุนประมาณ 2-3 ล้านบาท ขณะที่สาขาต่างจังหวัด คาดว่าจะทยอยเปิดในหัวเมืองใหญ่ อาทิ เชียงใหม่ นครราชสีมา หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และภูเก็ต

“เรามีสาขาต้นแบบที่เปิดให้บริการแล้ว โดยเป็นการดำเนินงานของบริษัทฯแม่ และสาขาที่ 2 ที่จะเปิดคือ ติวานนท์ ซึ่งบริษัทฯแม่ดูแลเองเช่นเดียวกัน ซึ่งสาขาดังกล่าวจะไม่ทับซ้อนกับดีลเลอร์ของเรา หลังจากนั้นจะทยอยเปิดสาขาอีก 3 แห่งภายในสิ้นปีนี้ ได้แก่ แจ้งวัฒนะ สุขุมวิท 62 และกาญจนาภิเษก ”

นางสาวพิมพา กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะที่แผนงานด้านผลิตภัณฑ์ จากเดิมที่มีฟิล์มกันร้อนวี-คูล ที่เจาะกลุ่มตลาดรถหรู – พรีเมียม –พีพีวี –เอสยูวี ภายในปลายปีนี้จะมีการเปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ ที่เจาะกลุ่มวัยรุ่น เจนวาย มีคุณสมบัติกันความร้อนสูง มีความโดดเด่นที่สี สามารถมองเห็นได้ชัดเจนแม้ในเวลากลางคืน สนนราคาประมาณ 1.2 – 1.3 หมื่นบาท ขณะที่สินค้าวี-คูล ที่จำหน่ายก่อนหน้านั้น มีราคาเริ่มต้นที่ 1.1 – 3.6 หมื่นบาท โดยบริษัทฯตั้งเป้าหมายการเติบโตในปี 2559 ไว้ที่ 5 – 7 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และแบ่งสัดส่วนรายได้ออกเป็น การขายผ่านโชว์รูม 20 % โฮลเซล 60 % และฟิล์มอาคาร 20 % ขณะที่มูลค่าตลาดรวมของฟิล์มกรองแสงอยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท

“แม้ว่าตลาดรถยนต์จะมีขึ้น-ลง แต่บริษัทฯยังคงตั้งเป้าหมายการเติบโต เนื่องจากสินค้าที่จำหน่าย อยู่ในกลุ่มนิช มาร์เก็ต หรือกลุ่มพรีเมียม – รถหรู ซึ่งลูกค้าในกลุ่มนี้ไม่ได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจเท่าไรนัก โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายคิดเป็น 25% ของกลุ่มรถหรู-รถเอสยูวี-รถพีพีวี ที่มียอดขายรวมในแต่ละปีประมาณ 1.2 แสนคัน ”

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,178 วันที่ 28 - 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559