หุ้นไทยเจ๋งสุดภูมิภาคกำไร15% บลจ.กรุงศรีฯลงทุนบริษัทแบรนด์เนมระดับโลก

29 ก.ค. 2559 | 01:00 น.
ตลาดหลักทรัพย์ฯเผยผลงานครึ่งปี หุ้นไทยให้ผลตอบแทนดีสุดในภูมิภาคที่ 15.2 % สภาพคล่องท่วมดันโวลุ่มเทรด 4.7 หมื่นล้าน มาร์เก็ตแคป 14 ล้านล้าน ขณะที่หั่นเป้ามูลค่าหุ้นไอพีโอเหลือ 1.9 แสนล้าน เหตุหลายบริษัทติดปัญหาเรื่องมาตรฐานบัญชี ฟากบลจ.กรุงศรีฯ ออกกองทุนลุยหุ้นสินค้าอุปโภคบริโภค แบรนด์ดังระดับโลก มองเป็นหลุมหลบภัยหนีลงทุนผันผวน

นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในครึ่งแรกปี 2559 ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถรักษาความแข็งแกร่งครองความโดดเด่นในภูมิภาคอาเซียนใน 3 ด้านที่สำคัญ ได้แก่

1. ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET Index ปรับเพิ่มอยู่ที่ 1,444.99 จุด ทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นสูงสุดในภูมิภาค โดยปรับบวก 12.2% หรือ 15.2% (ในสกุลเงินสหรัฐฯ)

2. นักลงทุนต่างชาติกลับมาลงทุนด้วยมูลค่าซื้อสุทธิ 3.6 หมื่นล้านบาท สูงสุดในอาเซียน พลิกจากการขายสุทธิในปีก่อนหน้า และยังมีแนวโน้มที่จะซื้ออย่างต่อเนื่อง

3. ตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องมากที่สุดในอาเซียน ด้วยมูลค่าซื้อขายหุ้นเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 4.7 หมื่นล้านบาท สูงสุดตั้งแต่ปี 2555 ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมของ SET และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ( mai ) ณ สิ้นเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 14.1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.1% จากสิ้นปี 2558 เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนไทยมีผลการดำเนินงานที่ดีเมื่อเทียบกับภูมิภาค อีกทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มดีขึ้น เห็นได้จากจีดีพีไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 3.2% เทียบกับปี 2558 ที่ 2.8%

นางเกศรา กล่าวต่อว่า ตลท.ได้ลดเป้ามูลค่าบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ใหม่ หรือหุ้นไอพีโอ โดยคาดว่าจะมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือมาร์เก็ตแคป เหลือ 1.9 แสนล้านบาท (เป้าเดิม 2.7 แสนล้านบาท ) เนื่องจากหลายบริษัทติดปัญหาช่วงเปลี่ยนผ่านมาตรฐานบัญชีใหม่ และคาดว่าจะมีจำนวนหุ้นไอพีโอประมาณ 31-43 บริษัท จากปัจจุบันที่เข้าจดทะเบียนแล้ว 7 บริษัท ขณะที่ส่วนใหญ่จะเข้าซื้อขายช่วงครึ่งปีหลัง

อย่างไรก็ตามยังคงเป้ามูลค่าระดมทุนรวมทั้งตลาดแรกและตลาดรองที่ 5.25 แสนล้านบาท แม้จะลดเป้ามูลค่าการระดมทุนจากหุ้นไอพีโอ แต่ปีนี้บริษัทจดทะเบียนหลายแห่งมีการเพิ่มทุนจำนวนมาก โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ เพื่อใช้ซื้อกิจการทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะมีการระดมทุนในส่วนดังกล่าวมากกว่า 3.5 แสนล้านบาท

นางสาวศิริพร สินาเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี จำกัด เปิดเผยว่า จากสภาวะการลงทุนของตลาดการเงินการลงทุนทั่วโลก ที่มีความผันผวนจากปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้การลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีและสม่ำเสมอ ถือเป็นเรื่องที่มีความท้าทายเพิ่มมากขึ้น บริษัทจึงได้ออกกองทุนที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่สม่ำเสมอ คือ กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลแบรนด์อิควิตี้ปันผล (KF-GBRAND) มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท

กองทุนดังกล่าวมีนโยบายลงทุนในกองทุนหลักมอร์แกน สแตนเลย์ อินเวสเมนท์ฟันด์-โกลบอลแบรนด์ฟันด์ ซึ่งเป็นกองทุนที่จัดตั้งมายาวนานกว่า 15 ปี และสามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นบวกถึง 14 ปีปฏิทินนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน ขณะที่กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้นสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ของใช้ในบ้านและของใช้ส่วนตัว ที่เป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลก 20-40 บริษัท เช่น ยูนิลิเวอร์ เนสท์เล่ ลอริอัล ทเวนตี้-เฟิร์ส เซ็นจูรี่ ฟอกซ์ แมคโดนัล ไนกี้ ไมโครซอฟ และอาดิดาส เป็นต้น โดยธุรกิจเหล่านี้มีผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 10 % ต่อปี และไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอ เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน อีกทั้งมีฐานลูกค้าและแหล่งรายได้กระจายอยู่ทั่วโลก

“บริษัทแบรนด์เนมเหล่านี้มีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ย 53.8 % ต่อปี กำไรสุทธิโตเฉลี่ย 10 % ต่อปี มีกระแสเงินสดสูง หนี้สินน้อย ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย 2.7 % ต่อปี “ นางสาวศิริพร กล่าวและว่า

หุ้นแบรนด์เนมเหล่านี้จึงเหมาะแก่การเป็นสินทรัพย์หลักในพอร์ตการลงทุน เพื่อรับมือกับสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูงเช่นในปัจจุบัน และเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ โดยผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี (สิ้นสุด 30 มิ.ย.59 ) กองทุนดังกล่าวให้กำไร7.61 % เปรียบเทียบดัชนีเอ็มเอสซีไอ เวิลด์ ให้ผลตอบแทนติดลบ 2.78 %

ด้านผลการดำเนินงานตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (กองทุนหลักจัดตั้งปี 2543 ) ให้ผลตอบแทน 10.2 % ต่อปี กับดัชนีเอ็มเอสซีไอเวิลด์ ให้ผลตอบแทนติดลบ 5.75 % สาเหตุที่กองทุนหลักให้ผลตอบแทนชนะดัชนีอ้างอิง เพราะใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบเลือกหุ้นรายตัว

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,178 วันที่ 28 - 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559