รอบด้านตลาดหุ้น by  Bualuang Securities  

28 ก.ค. 2559 | 03:50 น.
ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้น 0.7% และปิดที่ 1515.4 จุด นักลงทุนจับตาการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น BOJ วันที่ 29 ก.ค. นี้ โดยคาดว่าจะมีการออกนโยบายทางการเงินเพิ่มเติมเพื่อทำให้เงินเยนอ่อนค่าและผลการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 ส.ค. มุมมองของเราคาดว่า โอกาสที่จะผลออกมา “รับ” ร่างรัฐธรรมนูญยังมีสัดส่วนที่สูงกว่าไม่รับร่างฯ หากผลออกมา “รับ” ตลาดน่าจะตอบรับในเชิงบวก

มุมมองเรื่องกระแสเงินลงทุน เนื่องจากระดับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำทั่วโลกได้เอื้อประโยชน์ต่อการเคลื่อนย้ายของเงินทุนต่างประเทศเพื่อหาผลตอบแทนที่สูงกว่าในประเทศอื่นๆ และจากมูลค่าสินทรัพย์เสี่ยง เช่น การลงทุนในหลักทรัพย์ตลาดเกิดใหม่ การลงทุนหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศเป็นกลไกหลักที่ผลักดันดัชนีตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวขึ้นได้ดีกว่ากลุ่มหุ้นอิงสินค้าโภคภัณฑ์ ที่อาจ     ผันผวนตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก เรามองว่าหุ้นที่อ่างอิงวัฏจักรเศรษฐกิจในประเทศจะยังน่าสนใจกว่า เนื่องด้วยว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทยและกำไรบริษัทจดทะเบียนฯกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว แม้ว่าตลาดหุ้นซื้อขายที่ระดับ 1500 จุดหรือค่า PER ในปี 2559 ที่ 16-16.5 เท่า แต่หากสภาพคล่องจำนวนมากจากการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศและมุมมองที่สดใสต่อสถานการณ์การเมืองที่กำลังเดินหน้าไปสู่การทำประชามติในวันที่ 7 ส.ค. นี้ เป็นปัจจัยเชิงบวกที่ช่วยผลักดันดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น นอกจากนี้ ค่าความผันผวนของตลาดหุ้นไทยจากการคำนวณของเรายังคงไม่อยู่สูงมาก ซึ่งบ่งชี้เป็นนัยว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสจะเผชิญกับการปรับฐานเพียงเล็กน้อย มากกว่าการปรับฐานลงลึก หากเปรียบเทียบตัวเลขการดำเนินงาน เราพบว่าตลาดหุ้นไทยปัจจุบันให้อัตราผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้นเอเชียสภาพคล่องที่สูงขึ้นจะยังหนุนตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวได้ดีต่อไปจากปัจจุบัน โดยการปรับขึ้นของตลาดสัญญาณทางเทคนิคยังให้แนวต้านบริเวณ 1530 จุด (Fibonacci ratio 78.6%) / แนวรับ 1495 จุด

เรายังคงแนะนำกลยุทธ์ หุ้น Laggard play หุ้นที่ยังปรับตัวขึ้นไม่มากนักและเริ่มมีสัญญาณกลับตัวเปลี่ยนรอบเป็นขึ้น

รายงานพื้นฐาน BLS วันนี้

(+) รายงานกลยุทธ์ คาดกำไร 2Q16 เพิ่มขึ้น 5% YoY และ 5% QoQ ซึ่งดีกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านื้ โดยกลุ่มที่นำการเติบโตได้แก่ ประกันฯ (การตั้งสำรองจากพอร์ตการลงทุนลดลง) ยานยนต์ (ยอดขายรถยนต์ดีขึ้น) อาหาร (ต้นทุนลง ราคาหมูขึ้น) สินเชื่อผู้บริโภค (สินเชื่อโตดี) ท่องเที่ยว (นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 8%YoY) ค้าปลีก (SSS ปรับตัวขึ้น) ขนส่ง (น้ำมันลง) สำหรับแนวโน้ม 3Q16 เราคาดกลุ่มพลังงานจะรายงานกำไรเติบโตสูง YoY เพราะฐานต่ำในปีที่แล้วจากการขาดทุนสต๊อกน้ำมัน และคาดกลุ่มท่องเที่ยว การเงิน ค้าปลีก และอาหาร ยังคงเติบโตได้ดี เรายังคง maintain SET EPS ที่ 93 (ใกล้เคียงกับตลาดคาดที่ 92.5) และเป้าหมายดัชนี้ปี 2016-17 ที่ 1440 และ 1630 ตามลำดับ

(+) BCP เราคาดว่ากำไรหลักไตรมาส 2/59 อยู่ที่ 2,325 ล้านบาท ผลประกอบการฟื้นตัวขึ้นเนื่องจาก 1.กำไรจากสินค้าคงคลัง 2.กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 3.กำไรจากค่าการกลั่น แนวโน้มไตรมาส 3/59 คาดกำไรโตต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าการกลั่นตลาดสิงคโปร์ ขณะที่ส่วนต่างราคาน้ำมันผลิตภัณฑ์ดีเซลและแก๊สโซลีนปรับตัวขึ้น อัตราการใช้กำลังการกลั่นจะเพิ่มขึ้นหลังจากโรงกลั่นกลับมาเดินเครื่องได้ตามปกติ โดย BCP เป็นหุ้นที่เราชื่นชอบ โดยมูลค่าปัจจุบันถือว่าน่าสนใจมาก ซื้อขายอยู่ที่ระดับ PER ณ สิ้นปี 2559 เพียง 11 เท่า นอกจากนี้สิทธิในการจองซื้อหุ้น IPO BCPG ที่ผู้ถือหุ้น BCP จะได้รับจะเป็นปัจจัยกระตุ้นนักลงทุนให้เข้าซื้อสะสมหุ้น BCP โดยหุ้น BCPG จะเริ่มเทรดในเดือนก.ค. เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 39 บาท

(+) TFG เราคาดกำไรหลักในไตรมาส 2/59 อยู่ที่ 153 ล้านบาท พลิกกลับมาจากขาดทุน 407 ล้านบาทในปีที่แล้ว และยังปรับตัวสูงขึ้น 565% QoQ จากราคาหมูที่ปรับสูงขึ้น 13% YoY และ QoQ รวมทั้งการบริหารต้นทุนในส่วนต่างๆ แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นมาได้ระยะหนึ่ง แต่เรายังคงเชื่อว่าราคาหุ้นสามารถปรับตัวขึ้นต่อ โดยเราคิดว่า TFG สมควรที่จะเทรดในช่วง PE ที่อยู่ใน Upturn Cycle ซึ่งเราคาดไว้ที่ 19 เท่า (เฉลี่ย PE สูงสุดครั้งล่าสุดของ CPF และ GFPT ที่สามารถขึ้นไปเทรดได้) โดย PE ในระดับนี้ถือว่ามีความเป็นไปได้เนื่องจาก CPF และ GFPT เคยขึ้นไปเทรดถึง 31 เท่า และ 19 เท่า ในช่วงของ Upturn Cycle นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่จะช่วยหนุนให้เราสามารถปรับประมาณการกำไรในอนาคตได้ จากช่องทางรายได้ใหม่ซึ่งให้อัตรากำไรที่สูงที่บริษัทขยายเข้าไป เช่น การส่งออก, การทำหมูชำแหละ และไส้กรอกไก่ เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 3.40 บาท

(-) BDMS คาดราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวลงเพราะผิดหวังกำไรและมาร์จิ้นใน 2Q16 ซึ่งเราคาดกำไรหลัก 2Q16 ที่ 1.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% YoY แต่ลดลง 33% QoQ ในขณะที่รายได้คาดที่ 15,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% YoY แต่ลดลง 8% QoQ (low season) จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นไม่มากส่งผลให้อัตรากำไรหลักสุทธิยังคงอยู่ในระดับต่ำราว 10.7% ส่งผลให้เราปรับกำไรปี 2016-17 ลง 6% และ 7% เป็น 8,350 และ 9,536 ล้านบาท และปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 26 บาท (เดิม 27 บาท) คงคำแนะนำ ซื้อ โดยมองว่าจุดเข้าซื้ออยู่ที่ราคา 22 บาท เพราะ P/E จะอยู่ที่ราว 40 เท่า ซึ่งเทียบเท่ากับค่าเฉลี่ยกลุ่มทั่วโลก

(-) SAPPE นับจากที่เราปรับคำแนะนำขึ้นมาเป็นซื้อเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นให้ผลตอบแทนสูงสุดที่ 44% (ในวันที่ 13/7/16) เรามองว่าได้สะท้อนแนวโน้มผลประกอบการที่ฟื้นตัวไปส่วนหนึ่งแล้ว ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาถึงราคาพื้นฐานที่เราประเมินไว้แล้ว เราจึงปรับคำแนะนำลงเป็น ถือ แนะรอดูพัฒนาการของบริษัทไปอีกระยะหนึ่ง เพราะคาดผลประกอบการจะอ่อนตัวลงใน 2H16 อย่างไรก็ดีคาดราคาหุ้นอาจได้รับการ Re-Rate ขึ้นไปเทียบเท่ากับในอดีต (เกิน P/E 20 เท่า) หากบริษัทสามารถบรรลุข้อตกลงกับพันธมิตรในจีนและสามารถเพิ่มความครอบคลุมตลาดในจีนกลับไปเหมือนในอดีตได้

(-) BEC ผลประกอบการมีแนวโน้มปรับตัวลดลงในไตรมาส 2-3/59 เนื่องจากรายได้จากค่าโฆษณาที่ลดลงและต้นทุนบริการค่าใช้จ่ายในการขายที่สูงขึ้น แม้จะมีวันหยุดยาวเพิ่มขึ้น แต่เรายังคงไม่เห็นสัญญาณของการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานที่ชัดเจนยังคงคำแนะนำ ถือ

ที่มา:บมจ.หลักทรัพย์ บัวหลวง