คลังส่งเงินอุดหนุนทารก นำร่องผ่าน ‘อี-เพย์เมนต์’ภาครัฐกันยายนนี้

28 ก.ค. 2559 | 01:00 น.
คลังจี้ประชาชนรับสิทธิ์สวัสดิการ-เร่งผูกบัญชีพร้อมเพย์ ประเดิมโครงการแรกเงินอุดหนุนทารก 4.1 หมื่นราย วงเงิน 300 ล้าน “ผ่านอี-เพย์เมนต์” ภาครัฐ ก.ย.นี้ ฟาก “กรมบัญชีกลาง” จับตา 44 สวัสดิการเข้าระบบเผยเฉพาะค่ารักษาพยาบาล 6 หมื่นล้านต่อปี และเบี้ยผู้สูงอายุ ช่วยเหลือผู้พิการผ่านหน่วยงานท้องถิ่น

จากเวที “แนวทางติดตามและประเมินผลโครงการฐานข้อมูลสวัสดิการสังคม” เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมามีนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยหน่วยงานราชการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกรมการปกครอง กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นต้น

[caption id="attachment_75554" align="aligncenter" width="335"] สุทธิรัตน์ รัตนโชติ รองปลัดกระทรวงการคลัง สุทธิรัตน์ รัตนโชติ รองปลัดกระทรวงการคลัง[/caption]

นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ รองปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สวัสดิการสังคมแรกที่มีความพร้อมจะเริ่มต้นจ่ายผ่านระบบ e-Payment คือ สวัสดิการอุดหนุนสำหรับเด็กแรกเกิดในระยะ 0-3 ขวบ โดยจะเริ่มจ่ายผ่านระบบตั้งแต่เดือนกันยายน 2559 ตามมติที่ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการ e-Payment ภาครัฐครั้งที่ 3/2559 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2559 ได้เห็นชอบมาสเตอร์แพลน การบูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการสังคมระยะที่ 1 (การจ่ายเงินสวัสดิการสังคมที่เป็นตัวเงิน) โดยโครงการนี้มีความพร้อมของข้อมูลมากที่สุด ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่ากระทรวงการคลังต้องการที่จะทดสอบระบบการจ่ายเงินผ่านโครงการรัฐสวัสดิการ โดยทดสอบด้วยโครงการที่มีวงเงินไม่สูงนัก เพราะหากเข้าสู่ระบบการทดสอบแล้วมีปัญหาอุปสรรคด้านใด จะสามารถแก้ไขเพื่อนำไปใช้กับการจ่ายเงินผ่านโครงการรัฐสวัสดิการกลุ่มอื่นๆต่อไป

“โครงการนี้จะใช้ผ่านระบบการโอนเงินเข้าสู่บัญชีของแม่ที่ได้รับการอุดหนุน กว่า 41,348 รายโดยจะได้รับเงินอุดหนุนต่อรายอยู่ที่ 600 บาทต่อเดือนซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมอยู่ที่ 400 บาทต่อคนต่อเดือนหรือคิดเป็นวงเงินรวมต่อปีราว 298 ล้านบาท ซึ่งขั้นตอนต่อไปหน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องเข้าไปประชาสัมพันธ์เพื่อให้ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ หรือคือ แม่ๆ เข้าทำการผูกบัญชีเงินฝากเข้ากับบัญชีธนาคารเข้ากับเลข 13 หลัก หรือเลขบัตรประชาชน เพื่อรับสิทธิ์สวัสดิการจากภาครัฐ ที่จะต้องให้ทันก่อนวันที่ 1 กันยายน 2559 เนื่องจากเงินอุดหนุนจะเริ่มจากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนกันยายน 2559 นี้”

อย่างไรก็ดี ในการประชุมนัดหน้า หากหน่วยงานภาครัฐใดๆ ที่มีความพร้อมในเรื่องของข้อมูลสามารถนำเข้าเสนอเพื่อพิจารณาให้สามารถจ่ายเงินผ่าน e-Payment โดยมีความชัดเจนว่าต่อไปในอนาคตจะไม่มีการจ่ายเงินเป็นแบบเงินสดอีกต่อไป โดยเฉพาะกระทรวงการคลังจะเน้นผลักดันให้การจ่ายสวัสดิการที่เป็นตัวเงินเข้าสู่ระบบการจ่ายรัฐสวัสดิการต่อไป โดยสวัสดิการที่ไม่เป็นตัวเงินจะไม่เข้าสู่ระบบอี-เพย์เมนต์ ทั้งนี้ ผู้ที่มีการรับสวัสดิการจากรัฐมีจำนวนมากกว่า 11 ล้านคน ภายใต้ 44 สวัสดิการที่ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ(ก.พ.ร.) ได้รายงานข้อมูลเข้ามาก่อนแล้วนั้น ในส่วนของสวัสดิการที่ไม่ได้จ่ายเป็นตัวเงิน เช่นกรณีการแจกเป็นวัสดุ อุปกรณ์การเรียน เสื้อผ้า ปุ๋ย

ด้านนางสาวอรนุช ไวนุสิทธิ์ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง และที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลังกล่าวว่า แนวทางในการศึกษาคือจะต้องดูว่าสวัสดิการโครงการต่างๆที่มีลักษณะใกล้เคียงกับโครงการอุดหนุนเด็กแรกเกิดหรือไม่ คือ หากเป็นโครงการที่มีการจ่ายเงินอุดหนุนในลักษณะรายเดือนและมีการจ่ายต่อเนื่องโดยภาพรวมมีถึง 44 กลุ่มรัฐสวัสดิการ ที่จะต้องกำหนดกรอบระยะเวลาการจ่ายให้เข้าสู่ระบบอย่างเต็มรูปแบบ

ส่วนของสวัสดิการที่มีการจ่ายผ่านกรมบัญชีกลางแต่ละปี ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของค่ารักษา พยาบาลของข้าราชการหรือผู้มีสิทธิ์วงเงินประมาณ 6 หมื่นล้านบาทต่อปี ส่วนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยยังชีพคนพิการหรืออื่นๆ จะเป็นหน้าที่ของหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นในการจ่ายตรงให้กับผู้ได้รับสิทธิ์ ซึ่งอนาคตจะต้องรวมศูนย์ข้อมูลเต็มรูปแบบตามโยบายรัฐบาลที่จะบูรณาการฐานข้อมูล โดยมีหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมา คือ สำนักบริหารการทะเบียน สังกัดกรมการปกครองที่จะมีหน้าที่คอยตรวจสอบและเชื่อมโยงข้อมูลของแต่ละหน่วยงานเข้าด้วยกันป้องกันความซ้ำซ้อน

Photo : Pixabay
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,178 วันที่ 28 - 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559