สบายดีนะ เกาหลีเหนือ l โอฬาร สุขเกษม

27 ก.ค. 2559 | 10:13 น.
ย้อนไปในอดีตสมัยสงครามเย็นและสมัยรัสเซียเป็นสหภาพโซเวียตราวปี 2510 ในไทยมีสำนักข่าวสารอเมริกันทำหน้าที่เผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อ โดยเฉพาะเขตพื้นที่ภาคอีสาน สมัยนั่นผมยังเป็นเด็กรุ่นกระทงอยู่พอจำได้ว่า บ่อยครั้งได้ดูหนังกลางแปลงที่เป็นหนังที่อเมริกันสนับสนุน ซึ่งตอนก่อนจะจบมีตัวละครร้องว่า “ไชโยๆ หนุมาณมาแล้ว”  ซึ่งในหนังเป็นเรื่องราวน่าเกลียดน่ากลัวต่อประเทศคอมมิวนิสต์ เป้าใหญ่สมัยนั้นไม่ได้เน้นสหภาพโซเวียตแต่ไปเน้นประเทศจีนมากกว่า มีการออกโปสเตอร์แจกเหมือนใบปิดหนังนั่นหล่ะครับ  เป็นรูปวัดแล้วมีเครื่องหมายกากบาท ใจความคล้ายว่าจีนคอมมิวนิสต์ไม่มีศาสนา ซึ่งนั่นเมื่อเรียนมหาวิทยาลัยก็รู้ว่าเป็นเรื่องจริง เพราะสมัยที่เหมาเจ๋อตงเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประกาศเป็นนโยบายว่า “ศาสนา คือ ยาพิษ” ใบปิดบางแผ่นก็ประชาสัมพันธ์ว่าคนในจีนไม่มีเสรีภาพที่จะเดินทางออกนอกพื้นที่ไปไหน เป็นต้น

แล้ววันหนึ่งในภายหลัง สหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิบดีนิกสัน ก็ประกาศนโยบายทางการทูตปิงปอง ใช้กีฬาปิงปองเป็นจุดฟื้นฟูสัมพันธ์กันใหม่ มีการจับมือระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกากับประธานเหมาเจ๋อตงที่กรุงปักกิ่ง จากนั้นก็ทิ้งระยะเป็นสิบๆ ปีเช่นกันก่อนที่จีนจะเปิดประเทศ

ผมเดินทางไปจีนอยู่หลายครั้งเหมือนกันในอดีต  ไปในยุคสมัยที่ “โอ้.....บ้านนี้เมืองนี้ ไปไหนมาไหนช่างสะดวกสบายเสียจริงๆ ไม่มีการฉกชิงวิ่งราว ไม่มีเด็กมาเกาะแข้งเกาะขานักท่องเที่ยว รถยนต์ไม่ค่อยจะมี ประชาชนส่วนใหญ่ หรือแม้กระทั่งประธานหอการค้าที่จีนมณฑลหนึ่งที่ผมเจอ หลังเลี้ยงอาหารรับรองกันแล้ว ผมออกไปตะเวนข้างนอกก็เจอ “ท่านรองฯ” ปั่นจักรยานกลับบ้าน ครั้งท้ายๆก่อนจีนจะเจริญก้าวหน้า ตอนนั้นไปนครเซี่ยงไฮ้สมัยนายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรีเดินทางไปเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ประมาณปี 2536  หัวข้อที่ถกกันก็คือ การลงทุนในจีน โดยฝ่ายจีนร้องขอให้นักธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนจีน โดยเฉพาะนครเซี่ยงไฮ้ด้วย ผมไปพักโรงแรมที่ทันสมัยที่สุดที่เซี่ยงไฮ้และขณะนั้นก็มีเพียงโรงแรมนี้เพียงแห่งเดียวที่สร้างเสร็จไม่นาน และเป็นอาคารที่ดูทันสมัยที่สุด ที่เหลือทั่วนครเซี่ยงไฮ้ยังเป็นตึกรามบ้านช่องแบบเดิมๆ และแลดูคลาสสิค

พอจีนเปิดประเทศเข้าจริงๆ หลายคนก็รู้ว่า มีหลายอย่างอาจจะไม่ตรงกับที่เขาประชาสัมพันธ์ถึงความน่าเกลียดน่ากลัวอย่างที่ข่าวสารตะวันตกว่าเอาไว้ คนจีนก็คือคน สังคมจีนก็ไม่ได้มีอะไรเลวร้ายไปทุกอย่าง ทุกวันนี้จีนเจริญก้าวหน้าจนการค้าขายจะขึ้นเป็นเบอร์หนี่งของโลกไปแล้ว อาคารบ้านช่องทันสมัย มีทุกอย่างที่โลกเสรีมี คนจีนก็มีเสรีภาพที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศได้ อย่างที่เห็นๆ กันนั่นหล่ะครับ

เกาหลีเหนือที่ผมอยากจะพูดถึง แต่ผมก็พลาดโอกาสที่จะเดินทางไป เพราะสมัยก่อนที่ผมจะเป็นบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ พนักงานระดับบริหารงานข่าวซึ่งมีกันอยู่ 4  คน ตั้งที่บรรณาธิการบริหาร นักข่าวอาวุโสที่ปรึกษาของสายงานข่าวเราแบ่งกัน มอบหมายให้ทำหน้าที่ติดตามข้อมูลข่าวสารของประเทศต่างๆ

ผมเป็นคนสุดท้ายที่จะเลือกประเทศใดหรือกลุ่มประเทศไหน ผมเลือกกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ เหตุที่เลือกก็เพราะไม่มีทางเลือกเนื่องจากคนอื่นเลือกเอาไปหมด  เหลือไว้แต่คอมมิวนิสต์เท่านั้น ยกเว้นจีนและเกาหลีเหนือที่เพื่อร่วมงานผมแบ่งปั่นเอาไปดูแล เพราะจีนใหญ่เกินกว่าที่ผมจะรับได้หมด ผมต้องติดตามข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหวในสหภาพโซเวียต ติดตามความเคลื่อนไหวประเทศเวียดนาม ลาว กัมพูชา  นอกจากติดตามข่าวจากหนังสือพิมพ์แล้วยังติดตามข่าวจากแผ่นกระดาษม่วน ที่สำนักข่าวต่างประเทศนำมาติดตั้งในสำนักงาน ซึ่งเรียกว่าข่าวจากเทเล็กซ์นั่นหละครับ

นอกจากนี้เวลาใครเชิญเราไปหรือเราทำจดหมายขออนุญาตเข้าไปทำข่าวในประเทศนั้น เราก็เข้าพื้นที่ไปทำข่าว ปีหนึ่งๆ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือ 2 ครั้งตามภารกิจที่เราเลือกจะเสาะหาข้อมูล บนพื้นฐาน “พื้นที่ข่าว” ที่เรารับผิดชอบ

เพื่อนร่วมงานของผมได้รับเชิญจากรัฐบาลเกาหลีเหนือ รับเชิญไปสัมผัสและสัมภาษณ์ในประเทศของเขา สภาพที่เขาเล่าให้ผมฟังกับที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ ก็ไม่ต่างอะไรกับประเทศคอมมิวนิสต์ที่ผมไปเจาะข่าว  เวลาไปทำข่าวจะมีเจ้าหน้าที่ไปกับเราเสมอ เจ้าหน้าที่จะเป็นผู้นำพาเราไปเยี่ยมชม นัดหมายการให้สัมภาษณ์คนของเขา และเปิดให้เราไปได้ทุกที่ที่เราอยากจะไปโดยประสานกันล่วงหน้าก่อนตั้งแต่จะเดินทางออกจากประเทศไทย

ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับนักธุรกิจไทยที่เคยรับเชิญจากรัฐบาลเกาหลีเหนือให้ไปเกาหลีเหนือด้วยตาตนเอง  นักธุรกิจคนนั้นบอกผมว่า เห็นสนามบินที่กรุงเปียงยางแล้วก็ทึ่ง เพราะใหญ่โตมโหฬาร สนามบินกว้างขวา ขับรถต้องใช้เวลาเกินครึ่งชั่วโมงจึงจะผ่านประตูออกมาได้  สังคมเกาหลีเหนือเป็นสังคมที่ผู้คนเคารพกฎหมาย กฎระเบียบมาก และศรัทธาในผู้นำประเทศ ค่าไฟฟ้าจ่ายให้รัฐเดือนละ 5 บาท ข้าวได้ฟรีจากการแบ่งปัน มีอยู่มีกิน ทำงานก็ทำตามความถนัดของแต่ละคน คนเป็นศิลปินวาดภาพก็วาดภาพเพียงอย่างเดียว ชอบดนตรีก็เรียนดนตรีอย่างเดียว สภาพเช่นนี้ก็ไม่ต่างกับตอนที่ผมไปเยี่ยมครอบครัวชาวมิ้นส์ในสหภาพโซเวียต เธอเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ วัยเพียง 7 – 8 ขวบ ฉายแววเป็นนักดนตรีไวโอลิน จนต้องมีนักดนตรีมืออาชีพที่เป็นผู้ใหญ่แล้วแวะเวียนมาสอนดนตรีให้เธอที่บ้าน  นักกีฬาก็เช่นกันเรียกว่าเขา “ปั้น” กันมาตั้งแต่เด็ก

สังคมเกาหลีเหนือเป็นสังคมแบบเก่าๆ และค่อยๆ พัฒนาความเจริญทางด้านวัตถุ มีตึกหลังใหญ่ๆ ไม่ต่างกับเกาหลีใต้ผุดขึ้นมามากขึ้นในแต่ละปี รถไฟใต้ดินก็พัฒนาตามแนวของสหภาพโซเวียต ทำให้ดูมโหฬาร น่าทึ่ง ประชาชนจะมีงานทำกันทุกคน แม้โรงงานบางช่วงจะหยุดผลิตไปบ้างตามสภาพของวัตถุดิบ คนทำไร่ทำนาก็ทำกันไป ซึ่งเรื่องนี้ผมก็เคยเห็นมาแล้วในที่ต่างๆ ในประเทศคอมมิวนิสต์ซึ่งจะมีปัญหามากที่สุดตรงที่ระบบการผลิตที่ไม่เพียงพอแก่ความต้องการ และมีปัญหาด้านการกระจายสินค้า

รัฐบาลทำหน้าที่ดูแลคนทั้งประเทศ ดูแลให้มีกิน ดูแลให้มีข้าวของไว้ใช้ตามความจำเป็นในชีวิตประจำวัน ดูแลให้เด็กๆ มีการศึกษาเพื่ออนาคตของประเทศ ดูแลเรื่องการรักษาพยาบาล ดูแลป้องกันประเทศ และแน่นอนเมื่อปิดประเทศก็ทำให้ไม่มีเงินทุนไปก่อตัวก่อผลิตให้งอกเงยเพิ่มเติมได้อย่างประเทศเสรีอย่างประเทศไทย

เกาหลีใต้คนเชื้อชาติเดียวกันกับเกาหลีเหนืออยู่ในโลกของทุนนิยมเสรีภายใต้การช่วยเหลือของรัฐบาลไทยโดยเมื่อประมาณ พ.ศ. 2494-2496 (เคยอ่านเจอในหนังสือเก่าเป็นทางการ แต่ผมยังค้นหาหลักฐานไม่เจอครับ) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทยเป็นประธานการวางแผลการลงทุนและฟื้นฟูประเทศเกาหลีใต้จากการมอบหมายของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ

เกาหลีใต้สมัยนั้นเวลาจะดูงานก็ต้องมาดูงานหลากหลายสาขาในประเทศไทย รวมทั้งดูงานความสามัคคีของคนไทยในชนบท ดูการร่วมแรงร่วมใจ การวางเป้าหมายพัฒนาชุมชนให้แข็งแกร่ง เพื่อนำไปเป็นแบบแผนพัฒนาประเทศที่คนเกาหลีใต้เรียกว่า “แซมะเอิน อุนดง” แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ของรัฐบาลสหรัฐฯ อีกทั้งความตั้งใจของคนเกาหลีใต้ที่จะถีบประเทศตนเองให้พ้นจากความล้าสมัยอีกทั้งความช่วยเหลือจากประเทศพันธมิตรอื่นๆ  ทำให้เศรษฐกิจเกาหลีใต้จึงเจริญรุ่งเรืองมาได้ในทุกวันนี้

วันที่ 6 กรกฎาคม 2559 ผมเห็นข่าวกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรเหล่าเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือในนั้นรวมถึงผู้นำ คิม จองอึน ด้วยข้อกล่าวหาก็คือ ผู้นำเกาหลีเหนือและเจ้าหน้าที่ และองค์กรต่างๆ อีก 5 แห่ง “ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างฉาวรุนแรง”  โดยนายอดัม ซูบิน รักษาการเลขาธิการฝ่ายข่าวกรองการคลังและการก่อการร้าย กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุในถ้อยแถลงว่าเกาหลีเหนือภายใต้นายคิม จองอึน ยังคงลงโทษอย่างอำมหิตโหดร้ายทารุณ และสร้างความทุกข์ยากแก่ประชาชนหลายล้านคนของตนเอง ในนั้นรวมถึงการใช้ศาลเตี้ย แรงงานบังคับ และทรมาน
มาตรการคว่ำบาตรมีเป้าหมายที่อสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์อื่นๆ ภายในเขตอำนาจตามกฎหมายอเมริกา ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์อ้างรายงานของกระทรวงการต่างประเทศที่ยื่นต่อสภาคองเกรสว่า บุคคลที่อยู่ในบัญชีรายชื่อเหล่านี้ถูกลงโทษในฐานต้องรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงและปัญหาการเซ็นเซอร์ในเกาหลีเหนือ โดย คิม จองอึน อยู่ในอันดับ 1 ของบัญชีดำดังกล่าว
ขณะที่ผู้นำเกาหลีเหนือได้ออกความเห็นหลังถูกคว่ำบาตรว่า นี่เท่ากับเป็นการประกาศสงครามและเกาหลีเหนือจะตัดช่องทางการติดต่อทางการทูตระหว่างกันในทุกๆ ระดับทุกๆ ช่องทาง และต่อมาวันที่ 11กรกฎาคม 2559  กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือแถลงได้แจ้งให้รัฐบาลสหรัฐฯทราบแล้วว่า จะยุติการติดต่อทุกๆ อย่างกับวอชิงตันโดยผ่านสำนักงานของเกาหลีเหนือ ณ องค์การสหประชาชาติในนครนิวยอร์ก หนึ่งในจุดติดต่อท้ายๆ ที่ยังเหลืออยู่ระหว่างสองประเทศ

นอกจากนั้นยังระบุในสารที่ผ่านออกมาจากสำนักงานยูเอ็นของตนและลงวันที่วันอาทิตย์ (10) ว่า จากนี้ไปประเด็นปัญหาทวิภาคีทุกๆ เรื่องระหว่างเกาหลีเหนือกับสหรัฐฯ จะได้รับการปฏิบัติบนพื้นฐานของกฎหมายยามสงครามของเกาหลีเหนือ ซึ่งรวมถึงเรื่องของชาวอเมริกัน 2 คนที่ยังถูกคุมขังอยู่ในเกาหลีเหนือด้วย
นาย อดัม ซูบิน รักษาการปลัดกระทรวงการคลังฝ่ายการก่อการร้ายและข่าวกรองการเงินของสหรัฐฯ แถลงเมื่อวันพุธ (6 ก.ค.) ว่า ภายใต้คิม จอง อึน เกาหลีเหนือยังคงข่มเหงประชาชนนับล้านอย่างโหดร้าย ซึ่งรวมถึงการวิสามัญฆาตกรรม การบังคับใช้แรงงาน และการทรมานในค่ายนักโทษ รวมทั้งการลิดรอนเสรีภาพสื่อ นักวิชาการ และกิจกรรมทางวัฒนธรรม ที่รวมถึงการคุมขังผู้ถูกกล่าวหาดูภาพยนตร์ต่างประเทศ
เจ้าหน้าที่ในวอชิงตันเผยว่า กระทรวงความมั่นคงของรัฐกักขังนักโทษถึง 80,000-120,000 คนในค่ายนักโทษการเมือง ที่ซึ่งการทรมาน การประหารชีวิต การล่วงละเมิดทางเพศ การอดอาหาร และแรงงานทาส เป็นเรื่องปกติ ส่วนกระทรวงความปลอดภัยของประชาชนบริหารเครือข่ายสถานีตำรวจ ศูนย์กักกัน และค่ายแรงงาน ที่ผู้ต้องสงสัยที่อยู่ภายใต้การสอบสวนจะถูกดูหมิ่น ข่มขู่ และทรมานอย่างเป็นระบบ
เกาหลีเหนือตอบโต้ว่า  “สหรัฐฯ บังอาจมากที่ท้าทายผู้มีอำนาจสูงสุดของเรา พฤติกรรมที่เป็นปรปักษ์ขั้นเลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมา มันเลยเถิดเกินกว่าจะเป็นเพียงแค่การเผชิญหน้าในประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนแล้ว นี่มันเข้าองค์ประกอบของการประกาศเปิดสงคราม” ถ้อยแถลงที่เผยแพร่ผ่านทางเคซีเอ็นเอ

ข่าวสารเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นการรายงานข่าวจากโลกตะวันตก ผมเชื่อว่าข่าวเกาหลีเหนือทดลองขีปนาวุธเป็นจริง ข่าวสหรัฐเคลื่อนทัพเรือ บินโฉบเฉี่ยวก็เรื่องจริง รวมทั้งวางแผนตั้งขีปนาวุธสกัดขีปนาวุธจากเกาหลีเหนือก็จริงเช่นกัน เพียงแต่ยังไม่ได้สถานที่แน่ชัดเนื่องจากคนเกาหลีใต้โดยเฉพาะคนในพื้นที่ออกมาต่อต้านการตั้งในเขตพื้นที่ เพราะเขาว่าเขาอยู่กันอย่างสงบแล้วจะมาทำให้เป็นเป้าหมายในการรบไปทำไม

มิตรประเทศของเกาหลีเหนือระดับใหญ่ก็มีรัสเซียและจีน ส่วนไทยก็มีความสัมพันธ์ทางการทูตด้วย และการทูตไทยมีส่วนในการประสานงานกับเกาหลีเหนือและหกชาติที่เข้าร่วมโต๊ะเจรจาต่อเรื่องเรื่องพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ในเกาหลีเหนือผ่านสถานเอกอัคราชทูตไทยประจำกรุงปักกิ่ง

ภาพรวมของประเทศเกาหลีเหนือในปัจจุบันในสายตาชาวโลกมองเป็นลบ ด้วยท่าทีแข็งกร่าวของผู้นำหนุ่มอย่างคิม จอง อึน และทุ่มเทเงินทองเพื่อก้าวให้ทันโลกที่เจริญแล้วและพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ไปไกลมาก แต่ในมุมมองของคนในประเทศนั้น “เขาทำก็เพื่อป้องกันตัวเอง” ไม่ต่างอะไรกับอิสราเอล ปากีสถานและอินเดียที่มีอาวุธนิวเคลียร์ครอบครอง

สายตาอย่างเราที่เกินในดินแดนเสรี ทุนนิยมเสรี เราพอใจที่จะดิ้นรนขนขวายตั้งแต่รู้ความ เข้าช่วงชิงตั้งแต่การแข่งขันกันเข้าโรงเรียน แข่งกันเรียนมหาวิทยาลัยเกรดหนึ่ง แข่งกันทำมาหากิน คนไหนพ่ายก็ยากจนไป คนไหนทำได้ดีกว่าคนนั้นก็มีโอกาสที่ดีกว่า เราต้องยุ่งอยู่กับสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลายที่โลกสมัยใหม่เขามีกัน เราก็ต้องหามาให้ได้ อย่างสังคมในโลกตะวันตก เป็นสังคมแบบทุนนิยม ถือคติเกิดเป็นคนต้องเป็นหนี้กันก่อน ใช้หนี้หมดก็สบายในบั่นปราย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ เป็นหนี้ไปจนวันตายทิ้งมรดกหนี้ให้ลูกหลานสืบต่อไป ทุกวันนี้ไม่ใช่แค่หนี้ของประชาชนเท่านั้น บางประเทศก็เป็นหนี้สาธารณะบานเบรอะมากกว่า 100 % เมื่อเทียบกับ GDP  บางคนก็จนตรอกจนตั้งผันตัวเองไปฉกชิงวิ่งราว จี้ ปล้น โกงที่ดินหลวง โกงที่ดินคนอื่นมาเป็นของตนเอง รวมไปจนถึงทำผิดกฎหมายอย่างค้ายาเสพติด เป็นต้น

ตอนนี้สังคมโลกทุนนิยมกำลังติดกับปัญหาใหม่และใหญ่ คือ ปัญหาติดกับดักสภาพคล่อง (ปริมาณเงินมาก) คล่องจนเงินฝากล้นกระเป๋า หลายประเทศทั้งในยุโรปและในเอเชียต้องประกาศอัตราดอกเบี้ยติบลบไป แล้ว.....คำถามแล้วไงต่อ ประเทศไทยเมื่อวานนี้ถ้าไปซื้อสลากออมสินเขาให้ดอกเบี้ยแค่ 1 บาทเท่านั้น  ...แล้วยังไงต่อไปหละคุณ อุตสาห์อดอมตั้งแต่ดอกเบี้ย 19 % เดี๋ยวนี้ฝากอย่างเก่งได้แค่ 1 บาท......

เราเองอยู่ไกลเกินไปที่จะรับรู้ว่าในเกาหลีเหนือนั้นมีพฤติกรรมที่ไม่ดีเหล่านี้หรือไม่ เราไม่รู้ว่าจะมีคนสักกี่คน หนุ่มสาว โดยเฉพาะสาวๆ สักกี่คนที่ฆ่าตัวตาย เพราะเบื่อที่จะผจญกับปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ว่าด้านความรักหรือด้านเศรษฐกิจ แต่เรารับรู้ได้จากเกาหลีใต้ที่บ่อยครั้งไปที่ฆ่าตัวตายแล้วเป็นข่าวโศกนาฏกรรมไปทั่วโลก แต่ผมก็เชื่อว่าตามหลักปรัชญาเก่าๆ ที่ว่า “ที่ไหนมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้” ยกเว้นในไทย เรื่องบางเรื่องไม่ใช่การกดขี่ แต่ต้องการให้คนในสังคมไทยประพฤติตามกรอบของการอยู่ร่วมกันโดยสันติ กลับก่อเรื่องให้สังคมวุ่นวายเหมือนกับเมืองไทยไม่มีอะไรดีเอาเสียเลย

ผมว่าการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่สหรัฐอเมริกาประกาศเล่นงานเกาหลีเหนือไปนั้น ดูเป็นเรื่องที่รุนแรงเอามากๆ เพราะในยุคสมัยการประกาศคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจก็คือการประกาศสงครามดีๆ กันนี่เอง เพราะผลกระทบไม่ใช่ตกแต่เพียงรัฐบาลประเทศนั้นๆ เท่านั้น แต่ตกไปถึงมวลหมู่ประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยนั่นเอง

ผมไม่มีอะไรจะพูดต่อ นอกจากคำว่า “สบายดีนะ....เกาหลีเหนือ”