‘CMG’ชูนวัตกรรมดันยอดขาย 20 แบรนด์ทำเงิน

30 มิ.ย. 2559 | 04:00 น.
จับตากลุ่มเซ็นทรัล ชู "Innovation" หัวหอกทำตลาดครึ่งปีหลัง "ซีเอ็มจี" แตะเบรคนำเข้าแบรนด์ใหม่ หันงัดกลยุทธ์ตลาดแปลกดันพอร์ตแฟชั่น ความงามคึกคึก ลั่นขอโฟกัสแบรนด์ทำเงินหวังดันยอดขายโต 10% เชื่อซื้อกิจการซาโลร่า ต่อยอดธุรกิจในเครือ

นายพิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป หรือซีเอ็มจี บริษัทในกลุ่มเซ็นทรัล เปิดเผยว่า นโยบายของกลุ่มเซ็นทรัลในครึ่งปีหลังกำหนดให้ทุกกลุ่มธุรกิจ (Business Unit) มุ่งเน้นเรื่องของนวัตกรรม หรืออินโนเวชั่นเป็นหลัก เพื่อให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน ตามไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่นกลุ่มแฟชั่นไลฟ์สไตล์ ซึ่งบริษัทจะวางแผนและเตรียมความพร้อมด้านนวัตกรรมทั้งเรื่องของสินค้าและกลยุทธ์การตลาดล่วงหน้า 1 ปี โดยแต่ละแบรนด์จะนำเสนอนวัตกรรมที่ตรงกับสินค้าและกลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก

ปัจจุบันซีเอ็มจีเป็นผู้นำเข้าสินค้าทั้งเครื่องสำอาง , แฟชั่นเสื้อผ้า , เครื่องหนัง , นาฬิกา รวมกว่า 40 แบรนด์ โดยในปีนี้จะยังไม่มีแผนนำเข้าแบรนด์ใหม่ แต่จะเน้นการทำตลาดโดยโฟกัสในแบรนด์ที่มีศักยภาพให้เติบโตซึ่งมีอยู่จำนวนกว่า 20 แบรนด์ แต่เป็นแบรนด์ที่สามารถทำยอดขายให้กับบริษัทรวมกว่า 80% อาทิ แรงเลอร์ , G2000 , คลาแรงท์ , จี ช็อก , เครื่องสำอาง ทรี (Three) แบรนด์น้องใหม่ที่เพิ่งนำเข้ามาทำตลาด แต่เป็นแบรนด์ที่มีศักยภาพ และเชื่อว่าจะสามารถเติบโตได้เป็นอย่างดีใน 3-5 ปีข้างหน้า เป็นต้น ขณะที่กลุ่มสินค้าที่คาดว่าจะได้รับความนิยมอย่างมากได้แก่ กลุ่มยีนส์ เครื่องสำอาง และนาฬิกา

อย่างไรก็ดี ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทมีการเติบโต 5-6% ถือว่าดีกว่าเป้าหมายเล็กน้อย ขณะที่ไตรมาส 3 แม้จะเป็นช่วงโลว์ซีซันของการทำตลาด แต่หากมองภาพรวมยอดขายทั้งปี เชื่อว่าครึ่งปีหลังจะมียอดขายสูงกว่าครึ่งปีแรก เพราะปลายปีเป็นช่วงไฮซีซันของการขาย ซึ่งบริษัทมีแผนเปิดตัวสินค้าคอลเลคชั่นใหม่และกิจกรรมส่งเสริมการขาย กระตุ้นกำลังซื้อมากขึ้น โดยในครึ่งปีหลังบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเติบโตกว่า 10% และดันให้ยอดขายตลอดทั้งปีมีการเติบโต 10% ตามที่ตั้งไว้ หรือประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท

"ปัจจัยบวกที่จะช่วยผลักให้ครึ่งปีหลังมียอดขายที่ดี คือ กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะจีน รัสเซีย และมาเลเซีย ที่ยังมีจำนวนมาก โดยที่ผ่านมาพบว่าสาขาที่ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยว มีรายได้เติบโต 20% นอกจากนี้เรื่องของกลยุทธ์การทำตลาดที่ต้องนำเสนอสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ควบคู่ไปกับการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพ เพราะปัจจุบันลูกค้าใส่ใจ และคิดแบบรอบคอบมากขึ้นถือเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะทุกวันนี้การแข่งขันเข้มข้นขึ้นทุกปี ขณะที่ปัจจัยลบที่ต้องเฝ้าระวังและเป็นตัวแปรสำคัญคือโรคระบาด ภัยธรรมชาติ และการเมือง ที่อาจส่งผลทำให้นักท่องเที่ยวขาดความเชื่อมั่นและไม่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเมืองไทย"

นายพิชัย กล่าวอีกว่า ปัจจัยที่จะส่งผลให้ธุรกิจค้าปลีกในครึ่งปีหลังเติบโต คือช่องทางการจำหน่ายผ่านออนไลน์ ซึ่งพบว่า มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด ขณะที่หลังจากการเข้าซื้อกิจการเว็บไซต์อี คอมเมิร์ซแฟชั่น "ซาโลร่า" ในประเทศไทยและเวียดนาม เชื่อว่าจะมาต่อยอดธุรกิจในเครือให้เติบโตได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ดี กลุ่มเซ็นทรัล เข้าซื้อกิจการของบริษัท ซาโลร่า (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และคาดว่าจะเข้าบริหารงานต่อได้ทันที โดยจะใช้ซาโลร่า เป็นฐานในการต่อยอดธุรกิจทั้งในกลุ่มแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ และความงาม โดยในปีนี้ตั้งเป้าที่จะมีรายได้จากธุรกิจออนไลน์ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีก่อนที่มีรายได้ 400 ล้านบาท นอกจากนี้ยังเตรียมใช้เงินลงทุน 500-600 ล้านบาทในการเข้าซื้อกิจการเพิ่มอีก 3-4 ราย เพื่อนำมาต่อยอดทางธุรกิจโดยเฉพาะผ่านทางช่องทางออนไลน์ด้วย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,170
วันที่ 30 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2559