เปิดกลยุทธ์กลุ่มแวลูPS ตั้งเป้าโกยรายได้ 8.4 หมื่นล้านบาทใน 5 ปี

27 พ.ค. 2559 | 09:00 น.
"ปิยะ"แม่ทัพคนสำคัญกลุ่มธุรกิจแวลูแห่งค่ายพฤกษา เปิดกลยุทธ์ 5 ปี สร้างรายได้ 8.4 หมื่นล้านบาท เติมเต็มเป้าหมายใหญ่ของบริษัท รายได้ 1 แสนล้านบาท เดินหน้าสะสมแลนด์แบงก์ให้เพียงพอกับการพัฒนาในช่วง 2-3 ปี มีทั้งที่ดินเกรดเอและบีของสินค้าแต่ละเซ็กเมนต์ โดยแต่ละปีตั้งงบซื้อที่ดินกว่า 1 หมื่นล้านบาท พร้อมกับขยายฐานตลาดทาวน์เฮาส์ และบ้านเดี่ยวกลุ่มราคา 5-7 ล้านบาทให้มากขึ้น

หลังจากบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) ประกาศยุทธศาสตร์ใหม่พร้อมจัดทัพองค์กรใหม่สู่บริษัทโฮลดิ้ง ของบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ทำให้ต้องมีการปรับโครงสร้างองค์กรภายในใหม่ทั้งหมด เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต สู่เป้าหมายรายได้ที่ 1 แสนล้านบาท ภายใน 5 ปี

นายปิยะ ประยงค์ กรรมการผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจแวลู บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจหลักกลุ่มหนึ่งในการขับเคลื่อนบริษัทให้ไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ให้สัมภาษณ์"ฐานเศรษฐกิจ"ถึงแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่า สิ่งที่ทางบริษัทจะมุ่งเน้นเป็นพิเศษในช่วงนี้คือ ที่ดิน โดยการหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของการสะสมที่ดินเพื่อการพัฒนาเพิ่มมากขึ้น จากเดิมซื้อที่ดินแล้วพัฒนาเลย ปัจจุบันหันมาซื้อที่ดินสะสม แต่ทั้งนี้ต้องควบคุมสัดส่วนการเงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เหมือนคุมสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio)ไม่ให้สูง ปัจจุบันสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 0.5-0.6 % ซึ่งต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ยตลาดที่อยู่ประมาณ 1.6-1.7 % แต่บริษัทต้องการคุมสัดส่วนหนี้สินต่อทุนให้ไม่เกิน 1.1%

โดยเหตุที่สัดส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำก็เนื่องมาจากรอบการก่อสร้างของบริษัทสั้นลงเหลือแค่ 78 วัน สามารถรับรู้รายได้ได้เร็วขึ้น ทำให้ใช้เงินกู้น้อยมาก เดิมบริษัทมีเครดิตเทอมอยู่ที่ 3-4 เดือน แต่ปัจจุบันใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างไม่เกิน 3 เดือน ถือเป็นการสร้างเครดิตที่ดี ทำให้เกิดความต่อเนื่องในการพัฒนาโครงการ มีสินค้าพร้อมขายมากขึ้น

"ธุรกิจอสังหาฯพอเริ่มปีใหม่ทุกอย่างก็เป็นศูนย์ ไม่เหมือนสินค้าอื่นที่ใช้ซ้ำได้ ดังนั้นจึงต้องมีของสำรอง โดยบริษัทตั้งเป้าไว้ว่าที่ดินแลนด์แบงก์ที่มีจะต้องพอพัฒนาสินค้าได้ในช่วง 2-3 ปี การที่ D/Eของเราต่ำทำให้เป็นโอกาสในการสำรองสินค้า โดยในแต่ละปีบริษัทตั้งงบซื้อที่ดินไว้ที่ประมาณกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยที่ดินแต่ละที่เป็นที่ดินระดับเกรดเอและบีของแต่ละเซ็กเมนต์"

พร้อมกันนี้ ยังมีกลยุทธ์เพิ่มระดับราคาสินค้าในแต่ละกลุ่ม และทาวน์เฮาส์ในกลุ่ม 2-5 ล้านบาท ถือเป็นจุดแข็งที่บริษัทมีความชำนาญ แต่นับจากนี้จะขยายสู่ระดับ 5-7 ล้านบาทเพิ่มมากขึ้นซึ่งนโยบายหลักคงเน้นไปที่เรื่องของสินค้าและการบริการ ทั้งนี้ เดิมบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มทาวน์เฮาส์ระดับ 5-7 ล้านบาท อยู่ที่ 10% ปัจจุบันขยับขึ้นมาอยู่ที่ 25% ขณะที่เจ้าตลาดทาวน์เฮาส์มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 40% โดยอนาคตคาดว่าบริษัทจะมีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มนี้มากกว่า 40%

ในส่วนของบ้านเดี่ยว เดิมเราเป็นผู้นำในตลาดบ้านเดี่ยว 2-5 ล้านบาท แต่ด้วยราคาที่ดินในปัจจุบันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นทำให้พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาทค่อนข้างยาก ดังนั้นบริษัทจึงหันมามุ่งเน้นพัฒนาบ้านเดี่ยวในระดับราคา 4-10 ล้านบาทเพิ่มมากขึ้น

สำหรับในส่วนของคอนโดมิเนียมจะอยู่ที่ระดับราคา 1-5 ล้านบาท โดยเฉพาะระดับราคา 1-3.5 ล้านบาท มีตัวหลักคือพลัม ซึ่งจริงๆตรงกับความถนัดของบริษัท โดยรอบการก่อสร้างอาคาร 8 ชั้นอยู่ที่ 21 เดือน อาคารสูงอยู่ที่ประมาณ 36 เดือน ซึ่งรอบการก่อสร้างถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ สามารถแข่งขันกับรายใหญ่ในตลาดได้อย่างสบาย สำหรับส่วนแบ่งตลาดของสินค้าในระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทของบริษัทปัจจุบันอยู่ที่ 22% ขณะที่เจ้าตลาดมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 24% สำหรับระดับราคา 1-2 ล้านบาท อยู่ที่ 9% และ 10% เป็นของเจ้าตลาดในกลุ่มนี้ โดยสินค้าระดับราคา 2-5 ล้านบาท บริษัทมีแชร์อยู่ที่ 7%

"เราจะเน้นขยายตลาดระดับราคา 7-10 ล้านบาทให้มากขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่าตลาดในระดับราคานี้จัดอยู่ในกลุ่ม เรด โอเชียน แต่เรามีจุดเด่นในเรื่องของการบริหารต้นทุนได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับรายอื่น ทั้งนี้จากการสำรวจแบรนด์บ้านเดี่ยวของเราติดอันดับ 1 ใน 5 ที่ได้รับการยอมรับ"

ด้วยขนาดตลาดในกลุ่มแวลูมีสัดส่วนที่สูงคืออยู่ที่ประมาณ 65-70% จากขนาดตลาดรวมที่ประมาณ 3.5 แสนล้านบาท ดังนั้นเป้ารายได้ใน 5 ปี ที่ 8.4 หมื่นล้านบาท จากเป้ารายได้รวมทั้งบริษัท 1 แสนล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท คงไม่ใช่เรื่องยาก เนื่องจากหากดูข้อมูลตัวและประชากรในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลมีอยู่ที่ประมาณ 15 ล้านคน และมีความสามารถในการซื้อบ้านได้ 4.6 ล้านคน หรือคิดเป็นครอบครัวที่ประมาณ 2.3 ล้านครอบครัว แต่ปัจจุบันสามารถซื้อบ้านเป็นของตนเองได้แค่ 2 แสนครอบครัว แสดงให้เห็นว่ายังคงมีความต้องการที่อยู่อาศัยอีกจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ทำให้คาดการณ์ได้ว่าในปี 2563 ขนาดตลาดรวมจะอยู่ที่ประมาณ 5 แสนล้านบาท

โดย ณ ปัจจุบันบริษัท พฤกษาฯมีส่วนแบ่งทางการตลาดในแต่ละกลุ่มดังนี้ กลุ่มทาวน์เฮาส์ 30% ขนาดตลาดที่ 7.2 หมื่นล้านบาท บ้านเดี่ยว 8% ขนาดตลาดอยู่ที่ 9.1 หมื่นล้านบาท และคอนโดมิเนียม 5% ขนาดตลาดที่ 1.83 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากกลุ่มแวลูอยู่ที่ประมาณ 90%

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,160 วันที่ 26 - 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559