สหพัฒน์เป้าโต10%ดันยอด3.2หมื่นล้าน พัฒนาระบบโลจิสติกส์เพิ่มพอร์ตสินค้า

26 มี.ค. 2559 | 06:00 น.
สหพัฒน์ วางเป้าโต 10% สร้างยอดขาย 3.2 หมื่นล้าน เดินหน้าพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ขยายคลังสินค้าในต่างจังหวัด พร้อมเพิ่มพอร์ตสินค้านอกเครือสหพัฒน์เข้ามาขาย หลังเห็นสัญญาณบวกช่วง 2 เดือนแรก ทำยอดโต 17% เหตุคนไทยเริ่มเชื่อมั่น และอานิสงส์แคมเปญซื้อสินค้า 1.5 หมื่นของรัฐบาลปลายปีที่ผ่านมา

[caption id="attachment_40095" align="aligncenter" width="503"] แผนดำเนินธุรกิจ สหพัฒน์ ปี 2559 แผนดำเนินธุรกิจ สหพัฒน์ ปี 2559[/caption]

นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า ปีนี้ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ 10% จากปีที่ผ่านมา หรือมีมูลค่ายอดขาย 3.2 หมื่นล้านบาท โดยให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาโลจิสติกส์และช่องทางจัดจำหน่าย การเพิ่มสินค้านอกเครือสหพัฒน์ และสินค้าใหม่ในเครือสหพัฒน์มาจัดจำหน่ายมากขึ้น

การพัฒนาด้านโลจิสติกส์ บริษัทเตรียมพัฒนาคลังสินค้าย่อยขึ้นเป็นศูนย์กระจายสินค้าในภูมิภาค เริ่มต้นแห่งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่ และเตรียมพัฒนาต่อที่จังหวัดขอนแก่น และนครราชสีมา ปัจจุบันมีศูนย์กระจายสินค้าย่อยทั่วประเทศจำนวน 71 แห่ง ในจำนวนดังกล่าวมี 8 จังหวัดที่มีศักยภาพในการพัฒนาขึ้นเป็นศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ได้ โดยมีศูนย์กระจายสินค้าหลักอยู่ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และกทม. นอกจากนี้บริษัท เส-นอสห โลจิสติกส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับกลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่น จัดตั้งขึ้นมาเพื่อดำเนินธุรกิจด้านโลจิสติกส์

“บริษัทได้ให้ความสนใจในเรื่องโลจิสติกส์ ซึ่งปีที่ผ่านมาได้ร่วมทุนกับญี่ปุ่นจัดตั้งบริษัท เส-นอสหฯ ขึ้นมา เพื่อปรับปรุงและพัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพราะเป็นองค์ประกอบสำคัญของการดำเนินธุรกิจ รัฐบาลยังถือว่าระบบนี้มีความสำคัญ เพราะต้นทุนในธุรกิจโลจิสติกส์ของไทยยังสูงกว่ายุโรป และอเมริกา เฉลี่ย 8-10% ปัจจุบัน สหพัฒน์มีสินค้าที่จัดจำหน่ายเกือบ 100 แบรนด์ แบ่งเป็นสินค้าในเครือสหพัฒน์ 79% และเป็นสินค้านอกเครืออีก 21% ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้สินค้าใหม่เข้ามาจัดจำหน่าย คือ น้ำตาลมิตรผล และปีนี้จะเพิ่มสัดส่วนเป็น 24% ส่วนสินค้าในเครือเองก็จะเพิ่มสินค้าใหม่ออกมาทำตลาดต่อเนื่องด้วย”

สำหรับยอดขายช่วง 2 เดือนแรกของสหพัฒน์ เติบโตแล้ว 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง และอานิสงส์จากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปีที่ผ่าน ที่ยังส่งผลต่อความมั่นใจของผู้บริโภค ทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย โดยการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนนั้น จะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นเป็นหลัก ซึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทเติบโตได้ 7.48% จึงตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโต 10% และตั้งเป้าหมายกำไรเติบโต 5%

ด้านนางผาสุข รักษาวงศ์ กรรมการรองผู้อำนวยการ กล่าวว่า ช่วง 2 เดือนแรกบริษัททำยอดขายได้มากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากปลายปีที่ผ่านรัฐบาลออกแคมเปญใช้จ่าย 1.5 หมื่นบาท นำมาลดหย่อนภาษีได้ ประกอบกับการทำตลาดด้วยงบประมาณเกือบเท่าตัว ในการจัดกิจกรรมทั้งในห้างสรรพสินค้าและร้านค้าทั่วไป โดยเฉพาะการจัดรายการกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้าจำนวนชิ้นเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมการซื้อสินค้าปัจจุบัน จะต้องกระตุ้นด้วยแคมเปญการตลาด อาทิ การซื้อ 2 แถม 1 หรือซื้อ 1 แถม 1 เป็นต้น

ขณะที่นายเวทิต โชควัฒนา กรรมการรองผู้อำนวยการ กล่าวว่า ช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้มาม่าเติบโต 21% คาดว่าทั้งปีจะเติบโต 7% ซึ่งได้เตรียมกิจกรรมการตลาดไว้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันสหพัฒน์ได้มีการพัฒนาช่องทางการตลาดใหม่อย่างต่อเนื่อง อาทิ ช่องทางร้านขายยา ร้านอาหาร สำหรับผลิตภัณฑ์ล้างมือ แบรนด์คิเรอิ คิเรอิ การขยายช่องทางอี-คอมเมิร์ซ ที่จัดจำหน่ายสินค้าของสหพัฒน์ รวมถึงเครื่องสำอางแบรนด์ ดีเอชซี ปัจจุบันช่องทางอี-คอมเมิร์ซมียอดขาย 50 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 100 ล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,142 วันที่ 24 - 26 มีนาคม พ.ศ. 2559