จากสนามซ้อมรบเนื้อที่ 8,273ไร่ของกองทัพภาคที่ 1 กองพลทหารราบที่ 9 ใช้ประโยชน์อยู่ วันนี้กำลังเปลี่ยนผ่านไปเป็นสนามการค้าการลงทุนขนาดใหญ่ ภายใต้เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดกาญจนบุรี เชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียนควบคู่ไปกับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทวายของเมียนมา ส่งผลให้ท้องที่หมู่ 12 บ้านพุน้ำร้อน ตำบลบ้านเก่า อำเภอเมือง กลับคึกคักกลายเป็นที่หมายปองของนักลงทุนข้ามชาติไม่ว่าจะเป็นกลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่น จีน ฯลฯ จนถึงนักลงทุนแถวหน้าของเมืองไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ โลจิสติกส์ ท่องเที่ยว พาณิชยกรรมต่างๆ เป็นต้น
[caption id="attachment_32644" align="aligncenter" width="600"]
การคัดเลือกพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดกาญจนบุรี[/caption]
ขณะที่ฟากของไทยจะมีแม่เหล็กอย่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) นำร่องดูดเอกชนทั้งรายเล็กและรายใหญ่เข้าพื้นที่ พร้อมปูพรมระบบโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ถนนจากบ้านพุน้ำร้อนลากเชื่อมกับท่าเรือน้ำลึกทวาย ของเมียนมา ส่งออกทางเรือไปยังประเทศเพื่อนบ้านทะลุไปยังอินเดีย ประเทศในแถบตะวันออกกลาง แอฟริกา และประเทศในแถบยุโรป ซึ่งเป็นตลาดกำลังซื้อใหญ่ ยังไม่รวมทางบก-ทางรางที่มีแผนจะก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี-บ้านพุน้ำร้อน และรถไฟทางคู่บ้านพุน้ำร้อน-อรัญประเทศเชื่อมกัมพูชา
กรมโยธาธิการและผังเมือง ในฐานะเลขานุการ คณะอนุกรรมการด้านการจัดหาที่ดินและบริหารจัดการที่มีพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ศึกษาและวิเคราะห์พื้นที่ พบจุดเด่นสำคัญเหมาะต่อการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนั่นคือ 1.ที่ดินผืนใหญ่ติดพรมแดนไทย-เมียนมา ห่างจุดผ่านแดนเพียง 4 กิโลเมตร 2. ใกล้นิคมอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึกทวายเพียง 138กิโลเมตร 3.มีทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3229 (AH123) ข้อต่อสำคัญเชื่อมในหลายพื้นที่ 5.มีสาธารณูปโภคไฟฟ้า ประปา และอ่างเก็บน้ำบ้านพุน้ำร้อน 6.ห่างจากตัวอำเภอเมืองเพียง 65 กิโลเมตร เป็นต้น
ส่วนการกำหนดโซนพื้นที่พัฒนา นายศักดิ์ สมบุญโต ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ระบุว่า ที่ดินทั้งหมด 8,273ไร่ ล่าสุดปรับลดเหลือ 8,193ไร่ สำหรับเว้นระยะถอยร่นระหว่างประเทศ เพื่อความมั่นคงฝั่งละ 2 กิโลเมตร โดยโซนที่ 1 พื้นที่ 1.2 พันไร่ จะเป็นประตูการค้าการลงทุน ซึ่งจะพัฒนาเป็นด่านศุลกากร สถานีขนส่ง สถานีบริการสินค้าเชื่อมทางถนน-รถไฟ ฯลฯ โซนที่ 2 พัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรมพื้นที่ 2.5พันไร่ และมีแผนขยายเพิ่มอีก 3 พันไร่ในอนาคต โดยทำเลจะอยู่ติดกับอ่างเก็บน้ำบ้านพุน้ำร้อน
ขณะที่โซนที่ 3 เป็นที่อยู่อาศัยของคนในพื้นที่ ที่ตั้งเป็นหมู่บ้านชายแดนจำนวน 370หลัง ประชากร 800 คนโดยมีแนวคิดว่า ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแห่งนี้ เพื่อให้เกิดการจ้างงานและเป็นแหล่งงานทำกินเพิ่มรายได้ และอนาคตที่ดินเพิ่มมูลค่าหากใช้มาตรา 44 แห่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ถอนสภาพที่ดินจาก พระราชกฤษฎีกาให้เป็นเขตหวงห้ามใช้เพื่อกิจการทหาร ออกโฉนดใช้เพื่อการพาณิชย์ โซนที่ 4 ศูนย์ราชการ ศูนย์บริการแรงงาน ไฟฟ้า ประปา โรงพยาบาล โรงเรียน ฯลฯ จำนวน 3 พันไร่ ซึ่งทั้ง 4โซนออกแบบคืบหน้าไปแล้ว 70-80% ส่วนงบลงทุนภายในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีได้รับจัดสรรจากสำนักงบประมาณแล้ว 5-6 พันล้านบาท
เมื่อมีข้อดีก็ย่อมมีข้อด้อย นั่นคือ ปัญหาผู้บุกรุกกว่า 40 ราย อยู่บริเวณโซนที่ 2 หรือที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมที่กนอ. จะเข้าพื้นที่พัฒนา ซึ่งจะต้องเจรจาต่อไป และที่หนักข้อกว่านั้นนั่นก็คือ การเข้าไปกว้านซื้อที่ดินของนายทุนจากส่วนกลางหลายราย บางรายรวมแปลงขนาด 500ไร่ เป็นต้น ซึ่งจะต้องมีการผลักดันออกจากพื้นที่และดำเนินคดีต่อไป
ถือเป็นที่ดินผืนใหญ่มีศักยภาพสูงพอ ที่จะยกระดับเป็นฮับลงทุนด้านอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ โลจิสติกส์ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน แต่จะมีปัญหาเพราะมวลชน-นายทุนผู้บุกรุกหรือไม่เรื่องนี้ต้องจับตา!!!
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,133 วันที่ 21 - 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559